ทัวร์ตุรเคีย
ประเทศตุรกี
ดินแดนสองบุคลิกเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่มีอาณาเขตพาดผ่านแผ่นดินทั้งยุโรปและเอเชียผนึกแน่นเป็นเนื้อเดียว แผ่นดินที่ราบสูงอนาโตเลียมิเพียงขรึมขลังด้วย รากประวัติศาสตร์อารยธรรมที่เก่าแก่ และความหลากหลายของชนหลายกลุ่มนับแต่ ครั้ง 2,500 ปีก่อนคริสตกาลตุรกีเป็นนครที่อุดมไปด้วยเรื่องราวแห่งตำนาน และประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเมืองทรอย และม้าไม้อันลือลั่น อิสตันบูล อดีตเมือง หลวงแห่ง 3 อาณาจักร ศึกษาร่องรอยอารยธรรมของดินแดนในตอนกลางอนาโตเลีย มรดกโลกทั้งทางด้านธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมในบริเวณที่เรียกว่า คัมปาโดเจีย ชื่นชมทัศนียภาพอันน่าอัศจรรย์แห่งหุบเขาเกอเรเม ปามุกคาเล หรือ ปราสาทปุยฝ้ายที่ธรรมชาติรังสรรค์ เมืองเอเฟซุส นครโบราณที่พรั่งพร้อมไปด้วยร่องรอยอารยธรรมแห่งกรีก-โรมัน
ภูมิประเทศ : ตุรกีเป็นประเทศสองทวีป ซึ่งมีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรปในฝั่งเอเชีย ครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย ตุรกีถูกล้อมรอบด้วยทะเลสามด้านคือ ทะเลดำทางเหนือ ทะเลอีเจียนทางตะวันตก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางใต้ และทะเลมาร์มะราในเขตตะวันตกเฉียงเหนือทางตะวันออกของตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขาและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายเช่น แม่น้ำไทกริส แม่น้ำยูเฟรติส และแม่น้ำอารัส และยังมีทะเลสาบวัน และยอดเขาอารารัด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตุรกี ในปัจจุบันในรูปของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และเกิดภูเขาไฟระเบิดในบางครั้ง
การแบ่งเขตการปกครอง : ประเทศตุรกีมีการปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประมุขแห่งรัฐของตุรกีคือประธานาธิบดี ที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง และดำรงตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี ส่วนอำนาจบริหารของตุรกีใช้โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ส่วนอำนาจนิติบัญญัติใช้โดยรัฐสภาของตุรกี ซึ่งตุรกีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 81 จังหวัด
ภูมิอากาศ : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวตุรกี : ประเทศตุรกีมี 4 ฤดูกาล ได้แก่
ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน –เดือนพฤษภาคม)
ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน)
ฤดูใบไม้ร่วง (เดือน ตุลาคม- เดือนพฤศจิกายน)
ฤดูหนาว (เดือน ธันวาคม – เดือนมีนาคม)
สำหรับช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดในตุรกีคือ ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อน (เดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน) และช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง (ช่วงเดือนตุลาคม) เนื่องจากเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
เขตเวลามาตรฐาน
ช่วงฤดูร้อน ช่วงเดือนเมษายน – เดือนกันยายน ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง
ช่วงฤดูหนาว ช่วงเดือน ตุลาคม-เดือนมีนาคม ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
ประชากรและวัฒนธรรม : ตุรกีมีจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 70.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวเติร์ก และเคิร์ดนอกจากนั้นเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายลาซเฮมซิน,บอสเนีย,ยิว,เซอร์ซาสเซียน, อาหรับกรีก,โรมา,ซาซา จอร์เจีย,และอาเมย์เนียนซึ่งกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวเคิร์ดซึ่งประเทศตุรกีมีภาษาทางการเพียงภาษาเดียว ประชากรกว่าครึ่งอาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ อิสตันบลู ,อังการา,อิสมีร์ ,อาดานา ,คอนยา,บูร์ซาและอันตาเลีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามที่เหลือนับถือคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ ,นิกายจอร์เจียนออร์ทอดอกซ์ , นิกายโรมันคาทอลิก,นิกายโปรเตสแตนต์ และยิว ส่วนรากฐานทางสังคมของตุรกีมีมีลักษณะเป็นครอบครัวแบบขยาย โดยยึดถือการสืบทอดทางฝ่ายชาย สมาชิกทุกคนยึดถือปฏิบัติตามหลักศาสนาและผู้ชายทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว
ภาษา: ภาษาราชการคือ ภาษาตุรกี (Turkish) ภาษาอื่นที่ใช้ในประเทศได้แก่ เคิร์ด (Kurdish) และอารบิก ( Arabic)
ฟิล์มและกล้องถ่ายรูปภาษา : การให้ทิปในต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง
เงินตรา : ลีร่าใหม่ตุรกี (New Turkish Lira- YTL) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ = 1.4 ลีร่าใหม่ตุรกี หรือเงินไทย 1 ลีร่าใหม่ตุรกี = 25.25 บาท
การใช้โทรศัพท์ : รหัสโทรศัพท์ของตุรกีคือ 90 รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศ คือ 00 เช่น ถ้าต้องการโทรศัพท์กลับมาที่กรุงเทพฯ จากตุรกี ให้กดหมายเลข 00 ตามด้วย รหัสประเทศไทย 66 รหัสจังหวัดกรุงเทพฯ 2 ตามด้วยหมายเลขปลายทาง ที่ต้องการ 7 หลัก (เช่น 00-66-2-969-3664)
ระบบไฟฟ้า : ตุรกีใช้ระบบไฟฟ้า 220 โวลต์เท่าประเทศไทย เป็นปลั๊กแบบเขี้ยวกลม 2 เขี้ยว สามารถยืมแอดปเตอร์ตามโรงแรมที่พักได้ หรือทางที่ดีควรติดไปด้วย
การให้ทิป : การปฏิเสธไม่จ่ายทิปถือเป็นเรื่องหยาบคายมาก ที่ตุรกี ลูกค้าจ่ายทิปเท่าไหร่ก็ได้แต่ห้ามน้อยกว่าร้อยละ 5
อาหารการกิน : อาหารจานหลักเป็นจำพวกปลาหรือเนื้อปลานั้นค่อนข้างแพงถ้าไม่ได้อยู่ในฤดูกาลแต่มีรสชาติดี โดยเฉพาะในอิสตันบลูหรือตามแถบชายฝั่ง ปลาที่พบอยู่บ่อยๆในเมนูคือ
คิลิช (ปลาดาบ), ไคลคาน (ปลาเทอร์บอต), เลฟเรค (ปลาซีเบส), ปาลามุท (ปลาทูน่า) และลูเฟอ (ปลาบลูฟิช) ส่วนเนื้อนั้นปกติจะเป็นเนื้อลูกแกะ, เนื้อไก่ หรือเนื้อวัวปรุงกับผักต่างๆ นอกจากนี้ยังมีซิสเกบาบีหรือเนื้อเสียบเหล็กย่าง ส่วนเนื้อหมูนั้นหารับประทานได้ตามโรงแรมใหญ่ๆ ฮอลิเดย์ วิลเลจ และร้านขายของชำสำหรับตลาดระดับสูง
ของหวาน :ชาวตุรกีภูมิใจในขนมหวานที่มีรสอร่อยของตนมาก และนี่คือรายการของหวานบางอย่างที่คุณจะพบได้ในเมนู
อาซูเร : พุดดิ้งทำด้วยลูกนัต ซีเรียล และลูกเกด
บัคลาวา : แป้งเป็นชั้น ราดน้ำเชื่อมจนชุ่ม
ดอนดูร์มา : ไอศกรีม
คาบัค ทัตลีซี : ฟักทองหั่นเป็นชิ้นในน้ำเชื่อม
โลคูม : ของหวานแบบตุรกี (เตอร์กิชดีไลท์)
มูฮัลเลบี : พุดดิ้งนม
ซุตลัช : พุดดิ้งข้าว
รายการช้อปปิ้ง: เพราะเป็นอีกประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากมายมาชมและสัมผัสความงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆ คนที่มาเยือนถึงถิ่นตุรกีแล้ว ก็ต้องหาของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วยแน่นอน
พรมตุรกี: พรมเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของอิสตันบูล เป็นพรมทอจากไหมทั้งผืนที่มีความละเอียดสวยงาม มีน้ำหนักในขนาดผืนเท่ากัน หนักและแน่น ซึ่งมีสองแบบตามลักษณะความยาวของเส้นใยที่ใช้ ซึ่งวัสดุที่ใช้ทอมีทั้งขนสัตว์ฝ้ายไหม เมื่อผูกปมแล้วจะตัดเส้นใยออก ส่วนอีกด้านหนึ่งจึงปุยขึ้นเป็นลายตามที่ช่างต้องการ ส่วนคิลิมใช้วัสดุเหมือนกัน แต่ทอโดยไม่ตัดด้ายพรม จึงมีลายเหมือนกันสองด้านราคาของคิลิมถูกกว่า พรมราคาแพงมักทอด้วยขนสัตว์
กระเบื้องเซรามิก: กระเบื้องที่สร้างสรรค์ด้วยเทคนิคดั้งเดิม มีความแข็งแกร่ง ลวดลายแต่งแต้มด้วยงานมือวาด จึงอ่อนช้อยและงดงาม
ดวงตาปิศาจ : Blue eye ตาสีฟ้าของชาวตุรกี เป็นของที่ระลึกอย่างหนึ่งสำหรับที่ใครมาเที่ยวตุรกีแล้ว มักจะหาซื้อกลับไปเป็นของฝาก ที่จริงตาสีฟ้าเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งของชาวตุรกี ที่นิยมแขวนไว้ตามบ้านเรือน โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าบ้าน
เครื่องทองเหลือง: นอกจากนี้ยังมีเครื่องทองแดง ทองเหลือง กาต้มน้ำ กล่องอาหารกลางวัน หม้อ กระทะ และหม้อต้มขนาดใหญ่ที่เป็นงานฝีมืออีกมากมาย
นอกจากนี้ยังมีงานหัตถกรรมโบราณอื่นๆ เช่น การทำกล้องยาสูบเมียร์ซัมทำด้วยหินสีขาวจากเหมืองแถบเอสคีเชฮีร์ ,รวมถึงถ้วยชามหินออนนิกซ์สีเขียวหรือทอง ,แจกันและเครื่องประดับ ,ผ้าพันคอและเสื้อติดลูกไม้สวยงาม ฯลฯ
อาหารที่ขึ้นชื่อของตุกี: Kebap เคบับ : แปลว่าย่าง จึงหมายถึงอาหารที่นำมาย่างซึ่งจะเลือกเฉพาะเนื้อส่วนที่นุ่มแล้วนำมาเสียบไม้ปิ้งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อไก่ หรือเนื้อวัว หรือจะเป็นผักก็ได้ แต่ยกเว้นเนื้อหมู เพราะส่วนใหญ่ชาวตุรกีนับถือศาสนาอิสลามนั่นเอง เคบับมีต้นกำเนิดนั้นก็มาจากชนเผ่าเติร์กมักเร่ร่อนรอนแรมในทุ่งกว้างสมัยก่อน และอาหารการกินที่ทำได้ง่ายที่สุดในสมัยก่อนก็คือการนำเนื้อสัตว์มาย่างบนกองไฟ
Döner kebap: เคบับ เป็นอาหารประจำชาติตุรกี ก็คือการเอาเนื้อแกะ เนื้อไก่ มาบดใส่เครื่องเทศแล้วเสียบในแท่งเหล็กที่วางบนแท่นเตาหมุน นำมาย่างไฟจนเกรียมซึ่งจะค่อยๆสุกจากด้านนอกเข้ามาด้านใน แล้วนำมาเฉือนเป็นชิ้นๆ รับประทานพร้อมกับแผ่นแป้งและผักสลัดและราดด้วยน้ำซอสสูตรตุรกี หรืออาจจะมีการนำมาวางทับบนแผ่นโรตีที่หั่นเป็นชิ้นๆ จัดการราดด้วยซอสมะเขือเทศอีกครั้ง แบบนี้จะเรียกว่า Bursa Kebap เบอร์ซาเคบัป หาซื้อได้ตามข้างทางทั่วไปในตุรกี
ไอศกรีมตุรกี : Dondurma เป็นไอศครีมตุรกี ที่มีความเหนียวนุ่ม หวาน มัน ก่อนกินคนขายจะมีโชว์อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้ชม
Turkish tea: ชาตุรกี เป็นชาที่หอมมาก เป็นชาร้อนไม่ใส่นม เสิร์ฟมาในแก้วที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครชอบหวานมากก็ใส่น้ำตาลมาก ใครชอบหวานน้อยก็ใส่น้ำตาลน้อย
Lokum : โลกัม หรือ เตอร์กิชดีไลต์ เป็นขนมหวานที่ชาวตุรกีกินคู่กับชาหรือกาแฟทำมาจากแป้งและถั่วหรืออัลมอนด์ เป็นก้อน ๆ ที่นำมาคลุกกับน้ำตาลเป็นนขนมโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยออตโตมัน
หอยแมลงภู่อบ: จะขายตามชายทะเล เป็นหอยแมลงภู่ที่หมักกับข้าวแล้วเอาไปอบขายในซึ้ง เวลากินหยดเลมอนตัดรส เป็นอย่างหนึ่งนักท่องเที่ยวต่างยกนิ้วให้
เทศกาลสำคัญ : นอกเหนือจากความงามที่เป็นสิ่งอัศจรรย์ทางธรรมชาติแล้ว ตุรกียังมีเทศกาลสำคัญๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวอยากที่จะเดินทางมาสัมผัสและมีส่วนร่วมกับเทศกาลต่างๆ ที่นอกเหนือจากการท่องเที่ยวอีกด้วย
ยาฆ กูเรส : YaghGures เป็นเทศกาลแข่งมวยปล้ำ ซึ่งเป็นมวยปล้ำน้ำมันตุรกี คือมวยปล้ำท้องถิ่น ซึ่งก่อนลงสนามจะต้องเอาน้ำมันมะกอกมาทาตามตัว ทำให้การต่อสู้เต็มไปด้วยความลำบากมากขึ้น โดยฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้มาทาให้กันและกัน ปัจจุบันได้จำกัดเวลาการต่อสู้ให้เหลือราว 30-40 นาที
เทศกาลชนอูฐที่ตุรกี: เทศกาลชนอูฐเป็นเทศกาลแปลกๆ ที่จับอูฐมาชนกัน เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเฉพาะในแถบ Aegean ของประเทศตุรกี อูฐที่เข้าร่วมการแข่งขันจะสู้กันจนกว่าจะมีตัวใดยอมแพ้หรือล้มลง และมีบ่อยครั้งสำหรับอูฐตัวที่แพ้ จะวิ่งตรงเข้าหาฝูงชนที่เข้าชมการแข่งขัน และทำให้เกิดเหตุการณ์โกลาหล
เทศกาลบอลลูนระดับชาติ: เทศกาลบอลลูนระดับชาติ ที่เมืองคัปปาโดเกีย เมืองที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก และยังดินแดนที่มีน่าอัศจรรย์ของงธรรมชาติ ที่แปรสภาพเป็นหุบเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม และที่นี่ยังได้มีการจัดงาน เทศกาลบอลลูนระดับชาติ ซึ่งจะมีบอลลูนมากมายหลายหลากสีสัน ตระการตาให้นักท่องเที่ยวได้ลอยขึ้นไปเก็บภาพความงามของทัศนียภาพ ที่ประทับใจ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ : คัปปาโดเกียค่อนข้างกว้าง นักท่องเที่ยวจะต้องศึกษาข้อมูลท่องเที่ยว ว่าจะโฟกัสไปที่ไหนบ้าง แต่จุดท่องเที่ยวหลักๆที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมีเพียงไม่กี่จุด
เมืองเกอเรเม : ไม่ว่าคุณจะอยากไปมุมไหนของคัปปาโดเกียส่วนมากจะมาที่ Goreme เกอเรเม เป็นจุดสตาร์ท ถือเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของนักเดินทาง จึงทำให้มีที่พัก โรงแรมค่อนข้างเยอะกว่าจุดอื่นๆ และที่นี่ยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว คอยให้ข้อมูลแก่นักเดินทางด้วย
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม : Goreme Museumเป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเมที่มีโบสถ์ถ้ำตั้งเรียงรายอยู่หลายแห่ง ซึ่งโบสถ์ที่เป็นถ้ำข้างใน มีถึง 365 แห่ง ซึ่งจะเต็มไปด้วยภาพเขียนสีตามผนังและเพดาน โบสถ์เด่นๆที่คัปปาโดเกียโบสถ์บัคเคิลที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 คือโบสถ์เซนต์บาร์บาราซึ่งมีภาพเขียนแบบเฟรสโกโทนแดงอันงดงามหรือจะมาเที่ยวชมโบสถ์คาริกลีที่มีภาพวาดเกี่ยวกับพระเยซู แต่ผนังและเพดานของโบสถ์บางแห่งก็ถลอกปอกเปิดเกือบหมดเช่นกัน ซึ่งการขุดและเจาะภูเขาหินทำด้านในให้เป็นโบสถ์เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสมัยก่อนนั้นพอขุดเป็นโพรงได้ จึงลงมือตกแต่งภายในด้วยการเนรมิตภาพเขียนสี และวาดรงมถึงการขีดเขียนโบสถ์ถ้ำให้สวยงาม กิจกรรมที่หลายคนนิยมทำคือเดิน สำรวจพวกโรงแรมถ้ำที่กระจายอยู่ทั่วเมือง
หมู่บ้านอวานอส : หมู่บ้านอวานอส Avanos เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อ พวกเครื่องปั้นดินเผารวมถึงงานเซรามิก เรียกได้ว่าแทบทุกร้านจะมีผลผลิตจากงานปั้นวางขายหน้าบ้าน ส่วนในบ้านมีโชว์ปั้นหม้อทุกบ้าน นอกจากนี้ยังมีโอ่ง ไห แจกัน และเครื่องประดับปั้นขายอีกด้วย
เมืองอุชหิซาร์ : เมืองอุชหิซาร์ Uchisar เป็นอีกเมืองที่นักท่องเทียวให้ความสนใจอย่างมาก เพราะหากมองเมืองนี้จากระยะไกลจะเห็นภาพของภูเขาขนาดใหญ่ ซึ่งมีรูพรุนไปเกือบทั่วภูเขาเหมือนจอมปลวกแห่งคัปปาโดเกีย และเต็มไปด้วยหินรูปกรวยคว่ำ รูปกระโจม ตั้งกระจัดกระจายไปทั่วทำให้ดูแปลกตา แต่งดงาม ที่นี่มีบ้านของผู้คนที่สร้างไปตามหินผา บางบ้านก็อยู่ในปล่องและบางครอบครัวอยู่ในถ้ำกรวย
เมืองใต้ดินไคมักลิ : Kaymakli เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงคัปปาโดเกีย คือการได้ลงไปเที่ยวเมืองใต้ดินหรือหลุมหลบภัยยามถูกศัตรูระราน ที่คนสมัยก่อนขุดไว้เพื่อลงไปใช้ชีวิตในยามสงคราม ซึ่งเมืองใต้ดินแห่งนี้มีการขุดเจาะพื้นหินลงไปชั้นใต้ดิน และแบ่งเป็นชั้นต่างๆ ที่ซ่อนห้องไว้มากมาย มีทั้งห้องนอน ห้องอาหารและ ห้องนั่งเล่น ห้องฯลฯ ซึ่งไม่ได้มีแค่ชั้นสองชั้น แต่ลึกเกือบ 100 เมตร อาจจะมีมากกว่า 10 ชั้นก็ได้
ชมวิวประจำเมืองที่ Panorama View Point: จุดชมวิวประจำเมือง หรือ Panorama View Point ทำให้มองเห็นเกอเรเมในมุมสูง อยู่ใกล้กับเมืองอุชหิซาร์ นอกจากเห็นตัวเมืองเกอเรเมได้ทั้งเมืองแล้ว ยังเห็นคลื่นหิน และหินรูปทรงแปลกตา สวยงามอย่างยิ่งเวลาที่เหมาะที่สุดคือช่วงเย็น ก่อนแสงจะหมด
กรุงทรอย : กรุงทรอย อดีตเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรือง แต่ต้องมาล่มสลายในช่วงสงคราใระหว่างกรีกและโทรจัน ปัจจุบันมีการจัดแสดงแบบจำลองกรุงทอย มีซากเมืองเก่า และชมม้าไม้จำลอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสาเหตุที่ทําให้กรุงทรอยแตก
เมืองเอฟเฟซุส : มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โต เช่น ห้องสมุดโบราณ โรงละครกลางแจ้ง ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีการก่อสร้างเมื่อสมัย 2,000 ปีที่แล้ว แต่มีการบํารุงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุผู้ชมได้กว่า 30,000 คน และยังมีโรงอาบน้ำแบบโรมันโบราณ
ปามุคคาเล่ หรือปราสาทปุยฝ้าย : ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่เกิดจากธารน้ำแร่ร้อน มีส่วนผสมของแคลเซียมออกไซด์ ซึ่งเป็นแร่เกลือชนิดหนึ่ง เมื่อน้ำแร่เย็นตัวลงทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือหรือหินปูนสีขาว ทำให้ปกคลุมภูเขาทั้งลูก จนดูคล้ายเป็นภูเขาปุยฝ้าย และมีน้ำแร่ไหลลงมาเป็นบ่อทีละชั้นๆ
นั่งบอลลูนชมความสวยงามแบบ 360 องศา : นักท่องเที่ยวนิยมที่สุดสำหรับการมาเยือนคัปปาโดเจียสำหรับ คือการนั่งบอลลูนชมภูมิประเทศ ซึ่งต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ทุกเช้าจะมีบอลลูนลอยบนท้องฟ้าตื่นตาตื่นใจ ข้อดีของบอลลูนนอกจากวิวมุมสูงคือนักท่องเที่ยวสามารถชมธรรมชาติแบบชิลๆ ทำให้มองเห็นพื้นที่และหิน ภูเขา รูปร่างแปลกๆ ที่คัปปาโดเจีย ได้อย่างทั่วถึงนอกจากนี้ยังมีความวามของ สุเหร่าเซนต์โซเฟียและ พระราชวังทอปกาปึ ที่มีความงามและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างมากมาย