ทัวร์เวียดนาม

การท่องเที่ยวเวียดนาม

 

เวียดนาม (Vietnam) : หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) ประเทศเวียดนามเป็นประที่กำลังมีการพัฒนา และเริ่มเปิดกว้างทางการค้า และวัฒนธรรม ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก อยากจะลองมาสัมผัสกับความงามและวิถีชีวิตของประเทศเวียดนามดูสักครั้ง รวมถึงชาวไทยอีกหลายคน ที่เตรียมหาวันหยุดยาวๆ เพื่อเดินทาง มาสัมผัสกับกลิ่นอายของที่นี่ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ถูกยกให้เป็นมรดกโลก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ กลับมีความงดงาม ทั้งทางชาติและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ อีกมากมาย ประเทศเวียดนามจัดเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม รวมถึงความงามที่มาจากธรรมชาติหรือภูมิประเทศที่มีความแตกต่างกัน จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้นักท่องเที่ยวอยากจะเดินทางเข้ามาสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม ที่เป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลือและมีให้เห็นอยู่บ้าง

 

สภาพภูมิอากาศ : เป็นแบบมรสุมเขตร้อน ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของเวียดนามเปิดโล่งรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านทะเลจีนใต้ ทำให้ประเทศเวียดนามมีโอกาสรับลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน เวียดนามจึงมีฝนตกชุกในฤดูหนาว สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง (ฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) และประเทศเวียดนามมีลักษณะของภูมิประเทศ เป็นแบบคาบสมุทร ทำให้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย ซึ่งอากาศ ประเทศเวียดนามแบ่งออกเป็น 4 ฤดู

-ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือน มีนาคม ถึงเดือนเมษายน มีฝนตกปรอยๆ และมีความชื้นสูง

-ฤดูร้อน จะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม อากาศจะร้อนและมีฝน ซึ่งเดือนที่ร้อนที่สุดคือ มิถุนายน

-ฤดูใบไม้ร่วง จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน

-ฤดูหนาว จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ เดือนที่หนาวเย็นที่สุดคือ มกราคม

 

เวลา : เวลาประเทศเวียดนามเท่ากับเวลาประเทศไทย ลาว กัมพูชา มีเวลาเร็วกว่าเวลามาตราฐานที่กรีนนิช 7 ชั่วโมง

ดวงอาทิตย์ตกเร็วในฤดูหนาวราว 17.30 น. และ ตกช้าในฤดูร้อนราว 19.30-20.00 น.

 

ภาษา : โดยทั่วไปแล้ว ชาวเวียดนามใช้ภาษาเวียดนามกันใน ชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และ จีน ในการติดต่อสื่อสาร

 

เงินตรา : ด่อง (อังกฤษ:Dong, ตัวย่อ : VND) คือหน่วยเงินของเวียดนามที่ใช้ในประเทศเวียดนาม อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 400-500 ด่องต่อบาท หรือ ประมาณ 16,000 ด่องต่อดอลลาร์สหรัฐ

รูปแบบที่ใช้ มีทั้งเหรียญและ ธนบัตร ของเวียดนามโดยมีราคาดังนี้

  • เหรียญ มีราคา 200 ด่อง 500 ด่อง 1,000 ด่อง 2,000 ด่อง และ 5,000 ด่อง
  • ธนบัตร มีราคา 1,000 ด่อง 2,000 ด่อง 5,000 ด่อง 10,000 ด่อง 20,000 ด่อง 50,000 ด่อง 100,000 ด่อง 200,000 ด่อง และ 500,000 ด่อง

แม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวต้องใช้เงินด่อง แต่ สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป โรงแรมเวียดนาม ร้านอาหารเวียดนาม ร้านขายของที่ระลึก ก็ยังคงรับเงิน US เราสามารถแลกเปลียนเงินได้ที่ สนามบินเวียดนาม หรือ ธนาคาร โรงแรม และ ร้านที่ได้รับอนุญาตให้แลกเงิน ร้านเหล่านี้จะเขียนอักษรสีทอง ว่า "Hieu Vang" หรือ "Hieu Kim Hoan"

 

ระบบไฟฟ้า : กระแสไฟฟ้าของประเทศเวียดนาม จะเป็นลักษณะเดียวกับของเมืองไทย คือ 220 โวลต์ ซึ่งหากคุณไปเที่ยวประเทศเวียดนาม ก็สามารถนำอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ที่เวียดนามได้ ปลั๊กไฟสำหรับเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นแบบสองขากลม

 

ฟิลม์และกล้องถ่ายรูป : ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว

 

การใช้โทรศัพท์ : รหัสโทรศัพท์ของประเทศเวียดนามคือ +84 ส่วนคนที่ไปเวียดนามแล้วต้องการใช้อินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นการติดต่อธุรกิจ อีเมล์หรือ โทรศัพท์ผ่านเน็ต คุยกับครอบครัว หรือสำหรับคนที่ติดโซเชียล ตามโรงแรมจะมีเน็ต ซึ่งส่วนใหญ่โรงแรมระดับสามดาว ก็ปล่อยไวไฟให้นักท่องเที่ยวฟรี แต่จะแรงไปถึงห้องพัก หรือได้เฉพาะที่ล็อบบี้ต้องสอบถามทางโรงแรมที่คุณพักอีกครั้ง ส่วนหรูหน่อยก็จะมีอินเทอร์เน็ตทุกมุมของโรงแรม เวียดนามมี WIFI มากมาย เพราะตามปกติโรงแรมจะมีการปล่อยไวไฟฟรีเกือบทุกแห่ง แต่ก็จะมีแบบฟรีและแบบเสียตังค์ ส่วนใครที่อยากได้ซิมเน็ตใส่มือถือ มาที่ช้อปของ Vinaphone เป็นเน็ตสามจีค่อนข้างเร็ว คือเมื่อคุณซื้อซิม ก็จะมีเงินเหลือในซิมให้ใช้โทรศัพท์ได้นิดหน่อย และสามารถใช้เน็ต 3G ได้อีกนิดหน่อยตามจำนวนเงินที่มีเหลือในซิม หากเงินหมดก็ซื้อบัตรเติมเงิน หรือจะเลือกแพ็คเกจเสริมแบบ 500MB, 1.5GB และ 3.5GB ซึ่งสามารถหาซื้อบัตรเติมเงิน เมื่อเติมเงินเสร็จแล้ว โทรกลับไปหาที่ศูนย์ เขาจะทำการเปลี่ยนแพ็คเกจให้ หรือวิธีที่ง่ายที่สุด คือ หาร้านช็อปของ Vinaphone ให้เจอและให้ร้านจัดการให้ นักท่องเที่ยวสามารถพกพาโน๊ตบุคไปที่ประเทศเวียดนามได้ไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ใดๆ เพราะที่เวียดนามมีของแต่ละชนิด ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งนั้น ตามปกติแล้วอินเทอร์เน็ตมีให้ใช้แทบจะทุกโรงแรม บางแห่งอาจจะช้า แต่ก็พอใช้ได้ ถ้าหากคุณไม่กลัวหรือติดปัญหาเรื่องกลัวไม่มีฟอนท์ไทยก็สามารถนำโน๊ตบุ๊คไปได้

 

การให้ทิป : การให้ทิปในต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง

 

อาหารการกิน : กรุงฮานอยมีตลาดสดหลายแห่ง ซึ่งสามารถหาซื้อเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักและผลไม้สดได้ทุกวัน ในลักษณะใกล้เคียงกับตลาดสดในประเทศไทย มี Supermaket และ"mini mart" อยู่หลายแห่งคล้ายกับที่กรุงเทพฯ ซึ่งสามารถหาซื้อเครื่องกระป๋องและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ เครื่องปรุงอาหารไทย ส่วนใหญ่สามารถหาได้ในกรุงฮานอย หรือประยุกต์จากผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากประเทศอื่น (สิงคโปร์ จีน เกาหลี และญี่ปุ่น )  การบริโภคอาหารและน้ำดื่มในเวียดนามต้องระมัดระวัง ควรซื้อน้ำดื่มที่บรรจุเป็นขวดหรือกรองน้ำแล้วต้มก่อนจะดื่ม การบริโภคอาหารประเภทผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดก่อน และหากใครได้ไปเที่ยวเวียดนาม ต้องไม่พลาดไปลองชิมอาหารประจำชาติ และ อาหารขึ้นชื่อของเวียดนามจากร้านอาหารทั่วไป หรือ ภัตตาคารของโรงแรมในเวียดนาม

อาหารที่ขึ้นชื่อของเวียดนาม

แหนมเนือง หรือ ปอเปี๊ยะอาหารเวียดนาม ที่ขึ้นชื่อมาก ใครไปถึงก็ต้องสั่ง อย่าง แหนมเนือง หรือปอเปี๊ยะสด หรือทอด ที่เป็นอาหารยอดนิยมของเวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่ฮอทที่สุด ซึ่งจะมีแผ่นแป้ง นำมาห่อกินรวมกับ หมู ไก่ หรือหมูยอ แกล้มกับผัก สมุนไพรนานาชนิด เช่น ผักกาดหอม สะระแหน่ เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มหวาน

เฝอเป็นก๋วยเตี๋ยวของชาวเวียดนามที่มีการพัฒนามาจากการทำก๋วยเตี๋ยวของจีน มีความต่างกันที่เส้น น้ำซุป และเครื่องเคียง หรือบางครั้งก็เรียกว่าเป็นก๋วยจั๊บเวียดนาม อีกหนึ่งความนิยมมากที่สุดในอาหารเวียดนาม สำหรับมื้อเช้า ส่วนใหญ่เป็นขนมจีนหมูยอ หรือจะเป็น ขนมปังฝรั่งเศสก็ทำให้อิ่มท้องได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี ขนมเบื้องญวน และ ข้าวเกรียบปากหม้อญวน ฯลฯ ซึ่งอาหารแต่ละอย่างมีรสชาติอร่อย ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนติดใจอีกด้วย

 

รายการช้อปปิ้ง : แม้จะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่ใกล้กับไทยมากอีกประเทศหนึ่ง แต่หากได้มีโอกาสไปเยือนถิ่นเวียดนามแล้ว ก็อย่าลืมแวะซื้อของฝากที่มีชื่อ โดยเฉพาะใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่โฮจิมินห์ ของขึ้นชื่อที่จะต้องซื้อเป็นของฝากจากเวียดนาม ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าหัตถกรรมที่เป็นงานฝีมือพื้นบ้านทุกชนิด อย่างโนนลาหรือหมวกเวียดนามที่ทำจากใบลาน หรือเสื้อผ้า เครื่องเขิน ผ้าไหม เครื่องเรือนประดับไข่มุก และภาพเขียนฯลฯ ราคาต่อรองกันได้ โฮจิมินห์ซิตี้ เป็นแหล่งชอปปิ้งที่มีหลายที่ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปหาซื้อของที่ระลึกจากตลาดบิ๋นแถงห์ และตลาดบินห์เถ


สินค้าที่นิยมซื้อเป็นของฝากก็คือ

  • กระเป๋าถือ รองเท้าไม้ เสื้อปัก เสื้อยืดที่ระลึก
  • ที่รองจาน ที่รองแก้ว ที่ทำจากไหมเวียดนาม
  • ผ้าไหม ผ้าลินิน ผ้าปักลวดลาย ผ้าคลุมเตียง
  • งาช้างแกะสลัก,เครื่องแก้ว ,,เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่  ,เรือสำเภาจำลอง
  • ถ้วยกาแฟ กา จาน ชาม เซรามิค เขียนลายสวยๆ ของ Bat Trang
  • ชามสลัด ถาด ที่ทำจากไม้ไผ่
  • ชาม จาน ถาด ที่ทำจาก Lacquer Wear
  • ช้อน ที่ติดผม เครื่องประดับที่ทำจากเขาควาย
  • ชากลีบบัว - Lotus Tea, ผงกาแฟสด
  • หน้ากาก สินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกฯลฯ หรือแม้แต่อ๋าวหญ๋าย ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเวียดนาม

 

เทศกาลสำคัญ : ประเพณีตรุษญวนถือเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุด เพราะการเฉลิมฉลองปีใหม่ตรุษญวนถือเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและมักจะมีการเฉลิมฉลองโดยชาวเวียดนาม ซึ่งประเพณีตรุษเวียดนาม หรือปีใหม่ของชาวเวียดนาม มีลักษณะคล้ายกับประเพณีตรุษจีน เพราะในอดีตเวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของจีน ทำให้มีวัฒนธรรมทางความเชื่อและการดำรงชีวิต รวมถึงการใช้ภาษาต่างๆ ก็ได้รับอิทธิพลจากจีนซึ่งวันตรุษญวนหรือวันขั้นปีใหม่เวียดนามจะตรงกับวันที่ 1 เดือน 1 หรือตรงกับวันตรุษจีนเช่นกัน

เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ถือเป็นวันไหว้พระจันทร์ของขาวเวียดนาม หรือที่เรียกว่า เต๊ดจุงทู ซึ่งเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับวันขึ้น 15ค่ำ เดือน 8 อยู่ในช่วงเดือนกันยายน ในเทศกาลนี้ชาวเวียดนามจะมีการจัดประกวดขนมแบ๋ญจุงทู หรือ ขนมไหว้พระจันทร์ รูปร่างกลม โดยมีผิวหน้าประดับลวดลายสวยงาม ใส่ไส้ถั่วและผลไม้และในแต่ละบ้านจะมีโคมไฟประดับเพื่อเฉลิมฉลอง รวมถึงมีขบวนแห่เชิดสิงโตและมังกร เด็กๆสามารถร่วมร้องเพลงเต้นรำไปด้วย

เต็ดเหวียนดานเทศกาลส่วนใหญ่ชาวเวียดนามจะเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ 3 ถึง 7 วัน ติดต่อกัน โดยมีเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญคือเต็ดเหวียนดาน หมายความว่า เป็นเทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี เทศกาลเต็ด จะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองเทศการตรุษญวน ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 23 เดือน 12 โดยวันนี้จะมีการไหว้เทพเจ้าแห่งเตาไฟ ซึ่งเทพเจ้าเตาเป็นเทพเจ้าที่คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยและความเป็นไปทุกอย่างภายในบ้าน รวมถึงการเซ่นไหว้เทพเจ้าเพื่อส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์และ ในพิธีจะมีการไหว้ปลาคราฟด้วย ซึ่งตามความเชื่อก็คือเทพเจ้าเตาจะขึ้นสวรรค์โดยขี่ปลาคราฟ เมื่อเสร็จพิธีก็จะนำปลาคราฟไปปล่อยในแม่น้ำเพราะเชื่อว่าปลาคราฟจะแปลงร่างเป็นมังกรพาเทพเจ้าขึ้นสู่สวรรค์ หลังจากนั้นก็จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือน พร้อมทั้งการประดับตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อต้อนรับเทศกาลตรุษญวนที่จะมาถึง

 

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ : เพราะประเทศเวียดนาม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และเป็นอารยธรรมเก่าแก่มากมาย บางแห่งถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดความสนใจที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสกับบรรยากาศและสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศนี้ได้

วิหารวรรณกรรม (วันเหมียว,Literature temple)  วิหารวรรณกรรม หรือ ชื่อเวียดนามว่าวันเหมียวเป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเวียดนาม ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบพันปี และถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม เช่นเดียวกับที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ในบ้านเรา ได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่ง แรกของประเทศไทย วันเหมียวหรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า วิหารวรรณกรรมสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1070 ซึ่งเป็นยุคของ ราชวงศ์ไล โดยพระเจ้าไล ไท ตอง โปรดฯให้สร้างขึ้น เพื่อเชิดชูคุณธรรม โดยอุทิศให้แก่ขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีน ผู้ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง ต่อมาในปี 1076 ได้มีการสร้างโรงเรียนสำหรับขุนนางขึ้นในบริเวณเดียวกันกับวัด เพื่อให้เหล่าขุนนางได้เข้าศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็นจอหงวน เมื่อถึงยุคสมัยของราชวงศ์ตรัน จึงได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าเรียน วิชาที่สอนนั้นเป็นวิชาปรัชญาของขงจื๊อ ประกอบไปด้วยเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน วิชาประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นต้น

ทะเลสาบคืนดาบ(ฮว่านเกี๋ยม, Hoan Kiem Lake) ทะเลสาบคืนดาบหรือชื่อเวียดนามว่า"ฮว่านเกี๋ยม"ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าฮานอย มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai To) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่าทะเลสาบคืนดาบหากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว(Thap Rua)ซึ่งหมายถึงหอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล

วัดเนินหยก( หง็อกเซิน, Ngoc Son temple)  วัดหง็อกเซิน คือ วัดซึ่งตั้งอยู่ทางเนินหยกอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่เฉิน ฮัง โด๋ว ผู้นำการต่อต้าน ราชวงศ์หยวนเมื่อ ศตวรรษที่ 13 และ ได้รับการซ่อมแซมในปี พ.ศ.1864 โดย ปราชญ์ลัทธิขงจื้อ ชื่อ หวัน เซิง และ เหงียน หวัน ซุย โดย เชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานเทฮุก สะพานไม้สีแดง ที่มีความหมายอันไพเราะว่า สะพานแสงอาทิตย์ยามเช้า

บ้านพักลุงโฮ (Ho Chi Minh's stilt house) บ้านพักหลังน้อย นี้ เป็นบ้านที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ใช้เป็นที่พักและทำงานในช่วงปี ค.ศ.1958 ถึง 1969 ลักษณะภายนอกสะท้อนถึงความเรียบง่ายและ เท่าทันสมัยปฎิวัติของเวียดนาม ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทำเนียบประธานาธิบดีที่อยู่ใกล้กันซึ่งสร้าง ขึ้นเพื่อรับรองแขกผู้ใหญ่คนสำคัญในภูมิภาคอินโดจีนเมื่อครั้งตกเป็น อาณานิคมของฝรั่งเศส บ้านทั้งหลังสร้างด้วยไม้ เป็นพื้นปาร์เกต์ รอบๆบ้านตกแต่งด้วยสวนหลากหลาย มีห้องสองห้อง ชั้นบนเป็น ห้องทำงานและห้องนอน ข้างล่างเป็นห้องประชุม

โรงละครฮานอย (Hanoi Opera House) โรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน Ly Thai To ตัดกับถนน Trang Tien บริเวณวงเวียนห้าแยก โรงละคร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 สไตล์แบบฝรั่งเศส ตกแต่งอย่างงดงามดูแข็งแกร่ง ภายในมีที่นั่งกว่า 900 ที่นั่ง ปัจจุบันยังเปิดแสดงอย่างสม่ำเสมอ การแสดงจะเน้นดนตรีคลาสสิค

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (History Museum)  ตั้งอยู่หลังโรงละครฮานอย ค่าเข้าชม 15,000 ดอง สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือชาวเวียตนามเรียก Bao Tang Lich แห่งนี้เป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างใหม่ปี 2469 ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งสิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียตนามทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง มีกลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจากที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียน หากชอบเกี่ยวกับโบราณคดีคุณจะได้สัมผัสรากฐานแห่งอารยธรรมได้ดีทีเดียว

พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) ตั้งอยู่หลังสวนสาธารณะใกล้ๆ กับจัตุรัสบาดิงห์ เดินผ่านสวนสาธารณะที่มีเจดีย์เสาเดียวตั้งอยู่ ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ขนาดใหญ่ มีการจัดแสดงนิทรรศการมากมาย มีการถ่ายภาพขาวดำ ในสมัยสงคราม ซึ่งจะได้เห็นความเป็นอยู่ของเหล่าทหารกู้ชาติอีกด้วยและเรื่องราวการสู้รบ ในสมัยสงครามเวียดนาม

การเชิดหุ่นกระบอกน้ำ ตั้งอยู่หลังโรงละครฮานอยค่าเข้าชม 15,000 ดอง สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือ ชาวเวียตนามเรียก Bao Tang Lich แห่งนี้เป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างใหม่ปี 2469 ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งสิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียตนามทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง มีกลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจากที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียน หากชอบเกี่ยวกับโบราณคดีคุณจะได้สัมผัสรากฐานแห่งอารยธรรมได้ดีทีเดียว

 อ่าวฮาลอง (Halong Bay)อ่าวฮาลอง (Vnh H Long) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามใกล้ชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร ชื่อตามการออกเสียงในภาษาเวียดนามเขียนได้ว่า "Vinh Ha Long" หมายถึง "อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง" ในอ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจำนวน1,969เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเลบนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ (Hang Đầu G) หรือชื่อเดิมว่า Grotte des Merveilles ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกัดบา และเกาะ Tuan Chau ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยวส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆบางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น ตามตำนานพื้นบ้านได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตนานมาแล้ว ระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพชาวจีนผู้รุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม มังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวฮาลองในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออก อัญมณีเหล่านี้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว เป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมาก็คือเวียดนามในปัจจุบัน บางตำนานสมัยใหม่ก็กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันยังมีสัตว์ในตำนานที่ชื่อว่า Tarasque อาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว ในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537 อ่าวฮาลองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมทะเบียนรายชื่อมรดกโลกครั้งที่ 18 ขององค์การยูเนสโก ที่ประเทศไทย

ซาปา บรรยากาศที่นี่ต่างกับเมืองอื่นๆของเวียดนามอย่างสื้นเชิง รถราบนถนนมีน้อยมาก ผู้คนที่นี่ใช้วิธีเดินเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน จะเดินไปโรงเรียนในระยะทางประมาณ 2-3 กม. เป็นภาพที่ดูแล้วน่าประทับใจมาก ซาปา เดิมเป็นเมืองตากอากาศของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งที่ปกครองเวียดนาม เป็นเมืองเล็กๆ บนหุบเขาที่สูงเหยียดฟ้า อากาศที่นี่หนาวเย็นตลอดปี ฤดูหนาวบางปีมีหิมะตกที่ยอดเขา นอนที่โรงแรมก็อาจมองเห็นหิมะปกคลุมตามยอดเขา ตามยอดหญ้าหน้าโรงแรมก็มีแม่คะนิ้งให้เห็น ซาปา น่าเที่ยวที่สุดก็น่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว คนเวียดนาม หรือฮานอย มาเที่ยวกันมาก คล้ายกับมาเที่ยวเมืองเชียงใหม่ในบ้านเรา แต่บรรยากาศที่นี่ต่างกันมาก ผู้คนไม่มากนัก ตามในเมืองจะเห็นชาวเขาเผ่าต่างๆมากมาย มาขายของที่ตลาดสด และขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ช่วยสร้างสีสันให้กับซาปาเป็นอย่างมาก

ทะเลทรายมุยเน่ ภูเขาทรายสองสี หรือทะเลทรายสองสีที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสกับบรรยากาศสวยงาม คล้ายทะเลทราย เพราะมีภูเขาทรายขนาดใหญ่ อยู่ติดกับทะเล ทำให้ที่นี่มีทั้งแดด และลมที่แรง ที่นี่ยังมีร้านอาหารเล็กๆ เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวตลอดเวลา หมุยเน่ เป็นทะเลทรายสีขาว และทะเลทรายแดง ซึ่งนักท่องเที่ยวสนใจที่จะมาถ่ายรูปฝั่งสีแดงมากกว่า เพราะสวยงามและมีความโดดเด่นกว่า หรือจะปิดท้ายกับความสนุกแบบเด็กๆ ด้วยการเล่นกระดานเลื่อนบนผืนทะเลเทราย ซึ่งต้องเลื่อนจากบนเนินทรายสูง ลงมาพื้นที่ด้านล่าง

Fairy Stream  ซุ่ยเทียน(Fairy Stream) หรือ เราขอเรียกว่า แคนยอนแห่งเวียดนาม อยู่ทางเวียดนามภาคใต้ของประเทศเวียดนาม ที่ซุ่นเทียนจะมีความแตกต่างจากแพะเมืองผี บ้านเรา โดยจะมีลำธารที่เราต้องเดินลุยไประดับน้ำประมาณตาตุ่มเท่านั้น การเดินชมควรมีเวลาอย่างอย่าง 1 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทางจะเป็นดินที่ผ่านน้ำผ่านลม จนมีลักษณะดังในรูป ดินสีแดงและสีขาวตัดกันเกิดเป็นลีลาทางธรรมชาติสวยงาม หากได้มาเที่ยวทะเลทรายมุยเน่ที่เวียดนามใต้แล้วไม่ควรพลาดที่จะเข้ามาชมความสวยงามและอลังการของซุ่ยเทียน

สวนดอกไม้ดาลัด เมืองดาลัดเป็นเมืองหนาวมีการปลูกดอกไม้อยากแพร่หลาย ดอกไม้ที่ปลูกที่เมืองดาลัดได้ถูกส่งไปขายในเมืองดาลัดเองและเมืองอื่นของเวียดนามด้วย มีชาวต่างประเทศไปลงทุนทำสวนดอกไม้ที่ดาลัดในเทคโนโลยี่ต่างๆทำให้ดอกไม้ของดาลัดออกดอกและส่งขายได้ตลอดทั้งปี สภาพอากาศของเย็นทำให้เมืองดาลัดมีดอกไม้ที่สวยงาม นอกจากมีดอกไม้แล้วยังมีผักเมืองหนาวอย่างเช่น: กะหล่ำปลีและกะหล่ำดอก ดอกไม้ที่ได้รับความนิยมคือ กุหลาบ ไฮเดรนเยีย (ภาษาเวียดนาม cam tu Cau) นอกจากนี้ยังมีผลไม้นานาชนิดเช่น สตรอเบอร์รี่, ใบหม่อน, มันเทศ

อุโมงค์กู๋จี เป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมถึงกันในอำเภอกู๋จีในไซ่ง่อน (ปัจจุบันคือ โฮจิมินห์ซิตี) และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อุโมงค์กู๋จีเป็นที่ตั้งของการทัพหลายครั้งระหว่างสงครามเวียดนาม และเป็นฐานปฏิบัติการของเวียดกง เมื่อครั้งการรุกเทศกาลตรุษญวนในปี ค.ศ. 1968 อุโมงค์ดังกล่าวถูกใช้โดยกองโจรเวียดกงเป็นจุดซ่อนตัวระหว่างการปะทะ เช่นเดียวกับเป็นเส้นทางสื่อสารและเสบียง โรงพยาบาล สถานที่เก็บอาหารและอาวุธและที่พักอาศัยของนักสู้กองโจรจำนวนมาก ระบบอุโมงค์ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเวียดกงในการต่อสู้กับทหารสหรัฐ จนกระทั่งสหรัฐต้องถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ในที่สุด ข้อมูลท่องเที่ยว โฮจิมินห์ ตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แต่เดิม มีชื่อว่า ไซ่ง่อน มีพื้นที่ทั้งหมด 2095.2 ตร.กม. และจำนวนประชากร 5,891,100 สำรวจในปี ค.ศ. (2005) เป็นเมืองทีมีความสำคัญที่สุดรองจากเมืองฮานอย ที่นี่ไม่ใช่เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านการค้าเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวอีกด้วย.เมืองนี้เต็มไปด้วย แม่น้ำ ลำคลอง แม่น้ำที่กว้างที่สุดคือ แม่น้ำไซ่ง่อน โดยท่าเรือไซ่ง่อนสร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1862 สามารถรับได้ถึง 30000 ตันสภาพอากาศโดยทั่วไปเป็นแบบร้อนชื้น ฤดูฝนระหว่าง เดือน พฤษภาคม ถึง พฤศจิกายน และ หนาวช่วงเดือนธันวาคม ถึงเมษายน อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 27 องศาเซลเซียส เดือนที่ร้อนที่สุด คือเมษายน และหนาวสุดในเดือนธันวาคมตลอดทั้งเดือนอากาศจะอบอุ่นสบาย

ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office) ตั้ง อยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม ด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคาร แห่งนี้ ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ มีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน

ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Reunification Palace)  ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี ปัจจุบันเรียกกันว่าทองยัด และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย อาคารทันสมัยหลังใหญ่นี้รายรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็น ทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศสที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม (Norodom Palace) ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2411 หลังจากที่ข้อตกลงเจนีวานำจุดจบมาสู่การยึดครองของฝรั่งเศส โงดินห์เดียม ประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ได้พำนักอยู่ในทำเนียบแห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2506 ทำเนียบนี้ถูกทิ้งระเบิดโดยทหารอากาศเวียตนามใต้และได้มีการสร้างอาคารใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace) ขึ้นแทนที่โครงสร้างเก่าถูกทำลาย อาคารปัจจุบันออกแบบโดยโงเวียดทู (Ngo Viet Thu) สถาปนิกชาวเวียตนามผู้สำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2509 ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าชนประตูเหล็กด้านหน้าของ ทำเนียบและโค่นรัฐบาลเวียตนามใต้ลง

สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ (Zoo & Botanic Gardens)  ตั้งอยู่สุดถนนเลหย่วน สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือเดินไปก็ได้ สถานที่นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2407 มีต้นไม้ใหญ่มากมาย และมีการจัดแต่งสวนเป็นอย่างดี มีสวนกล้วยไม้เก็บรวบรวมชนิดพรรณพื้นเมืองไว้พอสมควร หากต้องการพักผ่อนในที่ที่ร่มรื่นแนะนำให้ไปที่สวนถ่าวกัมเวียน (Thao Cam Vien) หรือสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลบหลีกจากความอึกทึกวุ่นวายตาม ท้องถนนและเป็นสถานที่ที่เงียบสงบมากที่สุดในโฮจิมินห์ซิตี้ จุดที่ไม่ควรพลาดอีกจุดหนึ่งคือ ด้านหน้าทางเข้ามีช้างหล่อตัวหนึ่ง ได้รับการพระราชทานจากระเจ้าอยู่หัวของไทยในสมัยนั้นครั้งเมื่อไปเยือน ประเทศอินโดจีน ได้มีการจารึกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้ที่แท่นด้านหน้าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงสยาม พระราชทานไว้ให้เป็นที่ระลึก ในการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังประเทศอินโดจีนเป็นครั้งแรก เสด็จพระราชดำเนินขึ้นที่เมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2473ด้านในสวนพฤษศาสตร์มีสัตว์ให้ชมอยู่หลายประเภท

 ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh Market) ตั้งอยู่บนถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีหอนาฬิกาอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ ตลาดแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่าง ชาติ เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เป้ นาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ ไปจนถึงอาหารสด และดอกไม้ ราคาไม่แพง

เมืองฮอยอันเมืองฮอยอัน (Hoi An) เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว่างนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Trieu Chau Assembly Hallในสมัยของอาณาจักรจามปา บริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าบนปากแม่น้ำทูโบน ซึ่งมีชื่อว่า ไฮโฟ โดยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานและค้าขายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย เดิมทีเมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ตัวสะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย

พระราชวังเว้ พระราชวังเว้หรือวังหลวงแห่งเมืองเว้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ ในรัชกาลแห่งพระเจ้ายาลอง (Gia Long) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงวียน ที่ไทยมักคุ้นในชื่อ องเชียงสือ สถานที่แห่งนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของเมืองมาหลายยุคสมัย แม้ในปัจจุบันพระราชวังได้กลายสภาพจากศูนย์กลางราชอาณาจักรไปเป็นใจกลางของการท่องเที่ยวในฐานะ 1 ใน 3 ของมรดกโลกในเวียดนาม ไปแล้ว พระราชวังเว้มีกำแพงโดยรอบที่วัดความยาวได้ราว 2.5 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนในอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ เมื่อเราเดินผ่านประตูเที่ยงวัน (Cua Ngo Mon) ก็จะพบสะพานน้ำทองที่ทอดตรงเข้าไปสู่พระราชวังไท ฮวา หรือที่เรียกว่า ท้องพระโรง ใช้ต้อนรับพระราชวงศ์ชั้นสูงและทูต ที่นี่มีเสาไม้สีแดงต้นใหญ่มากมาย ทั้งหมดเขียนลายมังกรสีเหลืองด้วยเทคนิคงานเครื่องรักเขียนสีแบบเวียดนาม เมื่อทะลุผ่านไปจะพบลานกว้าง มีอาคารชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้องแบบจีนอยู่ทางขวาคือส่วนที่เป็นพิพธภันฑ์ จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของราชสำนักเวียดนาม

สุสานไดคิงห์ ใช้เวลา 11ปี สุสานนี้สร้างในสมัยพระเจ้าไคดิงห์ กษัตริย์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน ขณะยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกก็คือพระองค์ได้มีการขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาสร้างสุสานของะระองค์เองเมื่อ คศ.1923 สร้างความเดือดร้อนและความเกลียดชังไปทั่ว พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุ ติดยา หรือสารเสพติด เช่นเดียวกับพระบิดา เมื่อ ค.ศ 1925 รวมอายุ 40 ปี จากนั้นสุสาน แห่งนี้ได้ทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน และไม่มีรัฐบาลชุดใดให้ความสนใจ ต่อมาจึงได้มีการบูรณะเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายในสุสานจะพบภาพเขียนที่สวยงามมีชื่อว่า 'มังกรในม่านเมฆ' เป็นภาพบนเพดาน โดยจิตรกรผู้นี้ใช้เท้าเขียน

ลงเรือมังกร ล่องแม่น้ำหอม  แม่น้ำหอม หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง กำเนิดมาจากบริเวณต้นน้ำที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมและร่วงหล่นลอยมากับสายน้ำ แม่น้ำหอมเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำจึงไม่ลึกแต่ใสสะอาด ไหลผ่านธรรมชาติที่งดงามสองฟากฝั่ง ทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม รวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน การนั่งเรือมังกรล่องลำน้ำหอมจึงนับเป็นโปรแกรมท่องธรรมชาติ มีให้เลือกหลายรูปแบบตั้งแต่ การล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อแวะขึ้นชมพระราชสุสานของเหล่าจักรพรรดิราชวงศ์เหวียน หรือล่องจากตัวเมืองเว้สู่วัดเทียนมู่เพื่อชมเจดีย์ 8 เหลี่ยม 7 ชั้น อันงดงาม ระหว่างทางคุณยังจะได้พบกับหมู่บ้านชาวน้ำให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านี้ใช้เรือเป็นที่อยู่อาศัย มีอาชีพจับปลา ขุดทรายในแม่น้ำมาขายให้พ่อค้าคนกลาง ส่วนในยามเย็นนั้นนักท่องเที่ยวนิยมใช้เวลาหลังอาหารค่ำลงเรือล่องลำน้ำหอม โดยเรือจะไม่ล่องไปไกลเหมือนในตอนกลางวัน แต่จะปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่มาฟ้อนรำและบรรเลงเพลงพื้นบ้านให้ฟังกันสดๆ ซึ่งในอดีตการฟ้อนรำและการบรรเลงเพลงพื้นบ้านนี้ เป็นการเล่นถวายให้กับจักรพรรดิเท่านั้น

พิพิธภัณฑ์เซรามิก (Museum of Trading Ceramics)ตั้งอยู่บนถนนสายตรันฝู ตรงบ้านเลขที่ 80 ภายในบ้าน 2 ชั้นหลังนี้ สร้างจากไม้เนื้อแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ปีโดยบรรพบุรุษดั้งเดิมเป็นชาวจีนฟุกเกี๋ยนที่เข้ามาติดต่อซื้อขายยาสมุนไพร และไม่ได้กลับไปยังถิ่นฐานเดิม ปัจจุบันจึงดัดแปลงบ้านไม้เก่าแก่หลังนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิกที่จัด แสดงโบราณวัตถุเอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่ ถ้วย ขาม เครื่องใช้ไม้สอยสมัยโบราณ รวมทั้งชามสังคโลกของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำทูโบนที่เต็มเปี่ยมด้วย เสน่ห์แห่งนี้ นอกจากจะได้ชมถ้วยชามเซรามิกเก่าแก่แล้ว จากบริเวณระเบียงบ้านชั้น 2 คุณยังสามารถมองลงมายังถนนหน้าบ้าน เพื่อชมเมืองฮอยอันในมุมสูงได้อีกด้วย

ศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรม (Handicraft workshop and traditional music shop)  คือ สถานที่ตั้งโรงละครหลังเล็ก ที่จัดการแสดงพื้นเมืองที่หาดูได้ยากของชาวเวียดนาม ตั้งแต่การจับปลา การเกี่ยวข้าว ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนาม สำหรับนักท่องเที่ยวไม่ต้องการพลาดการแสดงที่น่าประทับใจเช่นนี้ แนะนำให้มาในวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00 น. หรือ เวลา 15.00 น. เพราะจะมีการแสดงเพียง 2 รอบต่อ 1 วันเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมงานฝีมือของเมืองฮอยอัน ตั้งแต่งานแกะสลักไม้ งานแกะสลักหินอ่อน ที่ยินดีให้คุณได้ชมในทุกขั้นตอนของการผลิต และสามารถเลือกซื้อกลับไปเป็ฯชองที่ระลึกได้ในราคาย่อมเยา

สะพานญึ่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)  ก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่น ปี ค.ศ. เมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว มีลักษณะเป็นรูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็น คลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้าง

สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall) ตั้งอยู่บนถนนสายตรันฝู บริเวณเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอัน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388-2428 ถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษของตน และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนาง เทียนเห่า มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชมและสองฟากฝั่งของถนนตรันฝูยังเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าทำ มือให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน ตลอดจนร้านอาหารหลากสัญชาติ หลายบรรยากาศ

เว้(Hue)เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 มีพื้นที่ทั้งหมด 5,054 ตร.กม. มีจำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 1,136,100 คน (สำรวจปี 2005) ตั้งอยู่ในเวียดนามตอนกลาง ริมฝั่งแม่น้ำหอม ถัดเข้ามาในแผ่นดินจากริมฝั่งทะเลจีนใต้เพียง 2-3 ไมล์ ห่างจากกรุงฮานอยไปทางใต้ประมาณ 540 กิโลเมตร และห่างจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปทางเหนือประมาณ 644 กิโลเมตร ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำคือที่ตั้งของพระราชวัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและวัดสำคัญส่วนใหญ่ในเมืองเว้จะตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำจะเป็นเมืองใหม่ ซึ่งมีย่านธุรกิจและที่พักอาศัยมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเว้ส่วนใหญ่จะเป็นป้อมปราการ พระราชวังหลวง และสุสานจักรพรรดิ หมู่โบราณสถานในเมืองเว้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดก โลกในปี พ.ศ. 2536 เว้เป็นเมืองที่เงียบสงบและน่าค้นหา มีบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากเกิดที่เมืองนี้ หรือได้เคยมาเยือนเมืองนี้ ปัจจุบันเว้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม

นครจักรพรรดิ (Imperial Enclosure)การมาเที่ยวเมืองเว้ โปรแกรมที่พลาดไม่ได้ก็คือการได้มาชมนครแห่งจักรพรรดิ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่และสวยงามของราชวงศ์เหวียน นครจักรพรรดิหรือพระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อของจีน ได้รับการออกแบบให้มีกำแพงล้อมรอบถึง 3 ชั้น จุดน่าสนใจของการเที่ยวชม หลังจากที่คุณข้ามสะพานเดินลองผ่านซุ้มประตูหรือกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับ ซุนทานกง หรือ ปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ หมายถึงเทพ 5 องค์ ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ โลหะ น้ำ ไม้ ไฟ และดิน ส่วนอีก 4 องค์ เป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูใน 1 ปี ถัดมาเป็นกำแพงเหลือง ซึ่งเป็นกำแพงชั้นกลางที่ล้อมรอบนครของจักรพรรดิ พระราชวัง วัด และสวนดอกไม้เอาไว้ ในส่วนนี้มีประตูทางเข้าที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม 4 ประตู ประตูที่สำคัญที่สุด คือ โหงะโมน หรือ ประตูเที่ยงวัน ที่สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยหินแกรนิตในสมัยพระเจ้ามิงห์หม่าง เมื่อคุณผ่านลอดประตูชั้นที่สอง โดยข้ามสะพานน้ำทอง ซึ่งเคยถูกสงวนไว้เฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น คุณจะพบกับพระราชวังไทเฮา อันเป็นวังที่สำคัญที่สุดในนครจักรพรรดิ

สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tomb of Tu Duc)อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเว้ สุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก แม้จะมีตัวอาคารไม่มากนัก แต่ก็มีความสวยงามลงตัวของสถานที่ ซึ่งตามบันทึกกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงออกแบบเองเกือบทั้งสิ้น สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ใช้เวลา 3 ปี จึงแล้วเสร็จ โดยใช้แรงงานคนถึง 3,000 คน พระเจ้าตือดึ๊กเป็นโอรสของพระเจ้าเถี่ยวตรีจักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์เหวียนที่ทรงครองราชย์นานถึง 36 ปี จุดเด่นน่าชมของสุสานแห่งนี้ คือ ตำหนัก 2 แห่งภายใต้อาคารไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเคียม อันรายล้อมด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พระองค์ทรงใช้เวลาว่างในตำหนักแห่งนี้นิพนธ์บทกวีและพักผ่อนหย่อนใจด้วยการ ตกปลา ถัดมาที่ส่วนกลาวงของสุสานมีศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงพระเกียรติคุณและ เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในรัชสมัย และอาคารทรงโรงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นโรงละครสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตัวสุสานของพระองค์นั้นอยู่ด้านในสุด รายล้อมไปด้วยความร่มรื่นของทิวสน

สุสานจักรพรรดิมินห์มาง (Tomb of Minh Mang) ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำตาตรัคและหูตรัค ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำหอมมาบรรจบกัน บริเวณหมู่บ้านบานเวียด การก่อสร้างสุสานแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2383 หรือ 1 ปี ก่อนสิ้นพระชนม์ และสำเร็จลงโดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามิงห์หม่างเป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้ายาลอง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน พระองค์ทรงสร้างนครจักรพรรดิและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการที่ทรงปฏิรูป ขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม พระองค์ทรงยึดมั่นในแบบแผนการบริหาร การปกครองตามแบบจีน โดยการให้หัวเมืองต่างๆ มาขึ้นตรงต่อราชสำนัก รวมทั้งนโยบายต่อต้านฝรั่งเศสและปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง ซึ่งนโยบายนี้เองที่ทำให้เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

เขตปลอดทหาร DMZ (Demilitarized Zone) เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ถูกกำหนดขึ้นในการประชุมที่กรุงเจนีวาในปี พ.ศ. 2497 หลังสิ้นสุดสงครามกับฝรั่งเศส ชายแดนนี้อยู่ตรงกับเส้นขนานที่ 17 พอดี ซึ่งมีแม่น้ำเบนไห่เป็นเส้นแบ่งเขตเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ออกจากกัน และมีสะพานเหล็กเหียนเลืองที่ทอดตัวยาวใช้เป็นตัวเชื่อม ตอนแรกเขตปลอดทหารนี้ ฝรั่งเศษตั้งใจจะแบ่งเวียตนามออกเป็นสองประเทศชั่วคราวจนกว่าจะจัดการเลือก ตั้งใหม่ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่การเลือกตั้งกลับไม่เคยมีขึ้น และเวียดนามก็ยังถูกแบ่งตามเส้นนี้จนกระทั่งเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวม กันอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2519

อุโมงค์หวิงห์ม็อก (Vinh Moc Tunnel) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเว้มาทางทิศเหนือราว 65 กิโลเมตร นับเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่คนทั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปีเพื่อหลบภัย จากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในสมัยสงครามเวียดนาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะพากันอพยพไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คน ที่ยังอาศัยอยู่ภายในอุโมงค์คนรูแห่งนี้เป็นเวลากว่า 5 ปี นับจากปี พ.ศ. 2509-2514 ภายในเครือข่ายอุโมงค์ที่มีความยาวกว่า 2,000 เมตร นี้ แบ่งออกเป็น 3 ชั้น มีทางเข้าออกทั้งหมด 13 ทาง แต่ละชั้นจะมีการสร้างเป็นห้องต่างๆ ทางซ้ายและขวา โดยชั้นแรกมีจุดเด่นน่าชมอยู่ที่ห้องที่ใช้คลอดเด็กทารกถึง 17 คน และชั้นที่สองเป็นส่วนที่ใช้ในการประชุมในสมัยสงคราม จากนั้นจะมีทางเดินลงสู่ชั้นที่ 3 ของอุโมงค์ ซึ่งค่อนข้างชันควรใช้ความระมัดระวัง อุโมงค์หวิงห์ม็อกสามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี เพียงแต่ในฤดูฝนอาจจะมีความยากลำบากในการเดินทางสักหน่อย และควรนำไฟฉายติดตัวมาด้วยเพราะทางเดินภายในอุโมงค์ค่อนข้างมืด

Visitors: 812,555