ทัวร์มาเลเซีย

ท่องเที่ยวมาเลเซีย


ประเทศมาเลเซีย : สหพันธรัฐมาเลเซียประกอบด้วยดินแดน 2 ส่วน ได้แก่ มาเลเซียตะวันตก ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู พรมแดนด้านเหนือติดกับประเทศไทยและบริเวณปลายคาบสมุทรติดกับประเทศสิงคโปร์ ส่วนมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ประกอบด้วยรัฐซาราวัก และซาบาห์ ทั้งสองดินแดนนี้แบ่งแยกออกโดยทะเลจีนใต้เป็นระยะทางประมาณ 650 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะท่องเที่ยวไปในตัวเมืองที่ทันสมัยหรือในส่วนที่สงบเงียบเป็นธรรมชาติของประเทศแห่งนี้ ชาวมาเลย์ ชาวจีน และชาวอินเดียที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศแห่งนี้ ล้วนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในเขตบอร์เนียวเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองดั้งเดิม เช่น ชาวดายัก ชาวอีบาน ชาวคาดาซัน ชาวดูซุน ชาวมูรุต และชาวบิดายุห์ นักท่องเที่ยวสามารถสนุกสนานไปกับเทศกาลที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ประกอบด้วยสีสันตระการตาซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำของชาวพื้นเมืองเหล่านี้ นอกจากนี้ ประเทศมาเลเซียยังจัดกิจกรรมระดับนานาชาติซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมจากทั่วทุกมุมโลก เช่นการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน และการแสดงการบินของกองทัพอากาศ เป็นต้น ดังนั้นไม่ว่าจะเวลาใด ประเทศมาเลเซียถือเป็นดินแดนที่มีความหลากหลาย และประกอบด้วยเหล่าผู้คนที่เต็มไปด้วยไมตรีจิตและพร้อมจะหยิบยื่นความเอื้อเฟื้อแก่นักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

 

สภาพภูมิอากาศ : เนื่องจากตั้งอยู่เกือบถึงเส้นศูนย์สูตร สภาพภูมิอากาศจึงเป็นแบบเขตร้อน อีกทั้งอยู่บนคาบสมุทร ทำให้ได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ฝนตกชุกเกือบตลอดปีโดยเฉพาะช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม และตุลาคมถึงพฤศจิกายน ส่วนฝั่งตะวันออกของประเทศจะได้รับอิทธิพลของลมมรสุมมากกว่าทำให้ฝนตกนานจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

 

เวลา : เมื่อเทียบระยะเวลาที่แตกต่างจากเวลาของประเทศไทย เวลาในประเทศมาเลเซียเดินเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย 1 ชั่วโมง

 

ภาษา : ภาษาราชการคือ ภาษามาเลย์ หรือ ภาษามลายู (Bahasa Melayu)

 

เงินตรา : เงินริงกิตมาเลเซียมีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1 ริงกิตต่อ 10 บาทไทย หรือราว 3.2 MYR ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เงินริงกิตมาเลเซียถูกผลิตออกมาใช้งานหลายระดับราคาคือ 1, 5, 10, 20, 50 และ 100 ริงกิต โดยประมาณ 5 ริงกิต= 42.25 บาทไทย

 

ระบบไฟฟ้า : ประเทศมาเลเซียมีระบบไฟฟ้าเป็นแบบ 240 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิร์ซ และใช้ปลั๊กไฟแบบสามขาแบน ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวประสงค์จะนำอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ที่มาเลเซีย ควรพก Adapter ไปด้วย

 

ฟิลม์และกล้องถ่ายรูป : ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว

 

การใช้โทรศัพท์

โทรศัพท์ต่างประเทศ : ท่านสามารถใช้โทรศัพท์ทางไกลอัตโนมัติผ่านระบบคอมพิวเตอร์เมื่อโทรสายตรงออกจากประเทศมาเลเซีย รหัส 60 และสิงคโปร์ รหัส 65 ให้กดรหัสโทรออกต่างประเทศ 001, 002 หรือ 008 ก่อนตามด้วยรหัสประเทศ, รหัสพื้นที่ และหมายเลยโทรศัพท์ปลายทาง เช่น 001-662-9334180 (กรุงเทพฯ)

การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ : ท่านสามารถขอรายละเอียดการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละระบบการสื่อสารได้ ที่เจ้าหน้าที่ผู้ให้ บริการแต่ละเครือข่าย ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์ก่อนนำไปใช้งานที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยต้องเตรียมพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินตัวจริงประกอบการขอใช้บริการ

 

การให้ทิป : การให้ทิปในต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง

 

อาหารการกิน : อาหารมาเลเซีย มีลักษณะเด่นอยู่ที่การใช้สมุนไพร เครื่องเทศ พริก มีรสเผ็ด และมักจะใช้ผงกะหรี่ คนในปีนังไม่ว่าจะเป็นคนอินเดีย คนจีนหรือคนมาเลเซียเองชอบทานอาหารที่มีผงกะหรี่และไม่มีใครปฏิเสธอาหารที่มีผงกะหรี่ สมุนไพรที่นำมาประกอบอาหารนอกจากสมุนไพรท้องถิ่นซึ่งมีอยู่มากมาย บางครั้งยังมีการรวมสมุนไพรหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีกลิ่นหอม มักใช้ในการผัดข้าว อาหารมาเลเซียส่วนใหญ่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารมุสลิม เพราะไม่ใช้เนื้อหมู และไม่ใส่ไวน์ เนื้อสัตว์ที่นิยมรับประทานกันจึงเป็น เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อแกะ และ อาหารทะเล และภูมิภาคของมาเลเซียอาหารจะมีลักษณะเฉพาะต่างกัน ในปีนังจะใช้ผงกะหรี่ในการประกอบอาหารมาก เพราะคนส่วนใหญ่ชอบผงกะหรี่ ขณะที่ทางตอนใต้ของประเทศจะนิยมใช้กะทิ คล้ายกับอาหารไทย โดยจะใช้กะทิกับอาหารเกือบทุกอย่าง ข้าว เป็นอาหารจานหลักในทุกมื้อของอาหารมาเลเซียเหมือนอาหารไทย ต่างกับอาหารยุโรปที่บางมื้อเป็นขนมปัง บางมื้อเป็นเนื้อ หลายคนเห็นหน้าตาอาหารมาเลเซียคล้ายกับอาหารอินเดีย แต่ อาหารอินเดียจะใช้กะทิเป็นส่วนผสมน้อยมาก ในอาหารมาเลเซียยังมีเครื่องจิ้มคล้ายน้ำพริกกะปิ เรียกว่า ซัมบัล (Sambal) ทำจากพริกป่น หัวหอมและน้ำมะขาม เป็นส่วนหนึ่งของสำรับอาหารของชาวมาเลเซีย นอกจากนี้ยังนิยมใช้ กะปิ ในการปรุงอาหารแทบทุกชนิดไม่ว่าจะผัดหรือแกง

 

อาหารขึ้นชื่อของประเทศมาเลเซีย

นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของมาเลเซีย คือข้าวหุงกับกะทิและใบเตย ทานพร้อม เครื่องเคียง 4 อย่างได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุก และถั่วอบ นาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตองและมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทย

แกงหัวปลา ( Curry Fishhead )แกงหัวปลา ( Curry Fishhead ) แกงหัวปลาเป็นอาหารมาเลที่ผสมผสานด้วยเครื่องเทศและใบการี่ลีฟ ซึ่งเป็นผักของอินเดีย รสชาตินั้นกลมกล่อมมาก

 

รายการช้อปปิ้ง : มาเลเซีย ถือว่าเป็นแหล่ง ช็อปปิ้ง ที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีร้านค้า และ ช็อปปิ้งเซนเตอร์ ที่มีอยู่ทั่วประเทศก็ว่าได้ สินค้าที่สำคัญไม่ว่า จะเป็นเสื้อผ้า เซรามิด รองเท้า เครื่องสำอางกระเป๋า และ เครื่องใช้ไฟฟ้า จากวัตถุโบราณ จนถึง เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ทันสมัย รวมทั้งเป็นแหล่งรวมของดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียง และ แหล่งรวมแฟชั่นที่ยอดนิยม ซึ่งมีทุกยี่ห้อ จากทั่วทุกมุมโลก บริเวณยามค่ำคืน ท่านสามารถตื่นตาตื่นใจ กับ แสง สี และ เสียง บริเวณ สองข้างถนน ท่านจะพบกับ ตลาดจำหน่ายสินค้าราคาถูก หรือ Night Market ได้ ตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ มาเลเซีย ท่านจะเพลินเพลินกับ สินค้าราคาพิเศษ และ อาหารการกิน ที่ถูกปาก ถูกใจของเรา ก็ว่าได้

 

เทศกาลสำคัญ

มกราคม

  •  การแข่งเรือนานาชาติ จัดขึ้นที่ Royal Lankawi Yatch Club เกาะลังกาวี
  •  เทศกาลโคมไฟ จัดขึ้นบนถนนยองเกอร์ในเมืองมะละกา ซึ่งตามบ้านเรือนแหละเหล่าโบราณสถานจะประดับโคมไฟอย่างสวยงาม อีกทั้งถนนสายนี้ยังเป็นถนนคนเดินเต็มไปด้วยร้านอาหารและศิลปวัฒนธรรม
  • เทศกาลไทปูซัม เป็นเทศกาลใหญ่ของศาสนาฮินดู จัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม (บางปีอาจอยู่ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์) ที่ถ้ำบาตู เพื่อเทิดพระเกียรติเทพเจ้ามูรูก้า โดยจะมีขบวนแห่พระราชรถและการทรมานตนด้วยเหล็กแหลมของเหล่าสาวก

 กุมภาพันธ์

  • วันดินแดนแห่งสหพันธรัฐ หรือรู้จักกันในชื่อ ซิตี้เดย์จัดขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อระลึกถึงการประกาศเป็นสหพันธรัฐโดยมีกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2517 ในงานจะเต็มไปด้วยขบวนพาเหรด พลุ ดอกไม้ไฟ และการละเล่นต่าง ๆ
  • เทศกาลตรุษจีน จัดขึ้นในย่านไชนาทาวน์ของทุกเมือง

 มีนาคม

  • เทศกาลอาหารนานาชาติ จัดขึ้นที่ International Sports Arena เมืองปีนัง

 เมษายน

  • Malaysia Water Festival จัดขึ้นที่ Desaru เมืองชายฝั่งทะเลในรัฐยะโฮห์ และที่ซีนัง ชายหาดบนเกาะลังกาวี เป็นงานแข่งขันกีฬาทางน้ำ

พฤษภาคม

  • เทศกาลอาหารและผลไม้ จัดขึ้นที่จัตุรัสเมอร์เดกา กัวลาลัมเปอร์

มิถุนายน

  • วันเฉลิมพระชนมายุของพระราชาธิบดี ตรงกับวันเสาร์แรกของเดือนมิถุนายน จัดขึ้นที่จัตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยจะมีการสวนสนามของเหล่ากองทัพ พร้อมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรม และดนตรี

กรกฎาคม

  • Malaysia Mega Saleจัดขึ้นทุกห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์

สิงหาคม

  • วันชาติมาเลเซีย ตรงกับวันที่ 31 สิงหาคม มีการจัดงานเฉลิมฉลองที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และเมืองหลวงของแต่ละรัฐทั่วประเทศจะมีการแสดงต่าง ๆ ขบวนพาเหรด พลุและดอกไม้ไฟ

 กันยายน

  • เทศกาลฮารีรายออิดิลฟิตรี้ (Hari Raya Aidilfitri)การฉลองหลังถือศีลอดของชาวมุสลิม โดยชาวมุสลิมจะประดับประดาบ้านเรือนด้วยโคมไฟในยามค่ำคืน และมีพิธีละหมายอิดิลอัฎฮาที่มัสยิด (เทศกาลนี้อาจแตกต่างกันในแต่ละปี เนื่องจากการนับตามปฏิทินจันทรคติ ควรตรวจสอบจากปฏิทินอิสลาม)

ตุลาคม

  •  วันดีปาวาลี (Deepavali)งามเฉลิมฉลองของชาวฮินดู เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าความดีอยู่เหนือความชั่ว
  • Penang World Music Festivalงานแสดงดนตรีท้องถิ่นของมาเลเซียและจากทั่วโลก จัดขึ้นที่ Botanic Gardens ที่เกาะปีนัง

พฤศจิกายน

  • Malaysia Savings Salesคืองานลดราคาสินค้าในทุกห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์

ธันวาคม

  •  Langkawi International Maritime and Aerospace Exhibition (LIMA) จัดขึ้นทุก ๆ สองปีที่เกาะลังกาวี เป็นการแสดงเรือและเครื่องบินผาดโผนการแสดงดนตรี นาฏศิลป์ และเทศกาลอาหารจากทุกรัฐในมาเลเซีย

 

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ : 

-กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เมืองหลวงของมาเลเซีย จะได้ไปเห็นตึกแฝดสูงที่สุดในโลก ที่มีชื่อว่า Petronas มีความสูงถึง 452 เมตร หรือสูงกว่าตึกใบหยกบ้านเรา 148 เมตร ออกแบบโดยชาวอเมริกัน Cesar Pelli ก่อสร้างโดยบริษัทจากญี่ปุ่น และบริษัทเกาหลี รับผิดชอบกันคนละตึก และต่างก็ต้องแข่งขันกันด้วย เพราะหากใครสร้างเสร็จก่อนก็จะเป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมตึกทั้งสองในชั้นที่ 42 ปรากฏว่าแรกๆเกาหลีสร้างได้เร็วมาก แต่หลังจากญี่ปุ่นตั้งหลักได้ก็แซงเกาหลีและเสร็จก่อนประมาณ 1 เดือน

-ปุตราจายา (putrajaya) เมืองราชการแห่งใหม่ของมาเลเซีย เป็นอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงมาเลเซีย คำว่า ปุตราจายา คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้จักคำนี้ดี รายการโทรทัศน์หลายรายการเคยไปถ่ายทำสารคดีที่นั่น ซึ่งต่างก็กล่าวถึงความสวยงาม ความใหญ่โต และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างพร้อมสรรพ ด้วยแนวคิดของคำว่า "Gaden City " และ " Inteligent City " ที่หมายถึงเมืองที่เป็นสวน และเมืองแห่งความฉลาด ทำให้ Putra Jaya ถูกเนรมิตจากความฝันให้เป็นเมืองแห่งความจริง ที่เป็นทั้งศูนย์อาคารทางราชการ อาคารรัฐสภา ที่อยู่อาศัยของข้าราชการเจ้าหน้าที่ มีมัสยิดเพื่อประกอบกิจกรรมทางศาสนาใหญ่ที่สุดของประเทศ มีสถานพักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติมากมาย รวมไปถึงเป็นศูนย์กลางด้านไอทีหรือ

ระบบสารสนเทศที่ทันสมัย ซึ่งได้กำหนดให้เป็น Cyberjaya พร้อมระบบเครือข่ายที่ทันสมัย เพื่อเป้าหมายการเป็นผู้นำด้าน MSC ( Multimedia Super Corridor) ซึ่งเป็นโลกของอนาคตทางด้านไอที ปุตราจายากลาย เป็นความฝันของคนมาเลเซียรุ่นใหม่ ที่อยากมาทำงานในสถานที่แห่งนี้ ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวมาเลเซียและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าชมเป็นจำนวนมาก

-คาเมรอนไฮแลนด์ (Cameron Highlands) เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชมธรรมชาติ ระหว่างทางสู่คาเมรอน จะได้ผ่านชมไร่พืชผักอันเขียวขจีและไร่สตอร์เบอร์รี่จำนวนมากมาย ที่โดดเด่นและไม่ควรพลาดชมระหว่างทางสู่คาเมรอนก็คือ ไร่ชาที่สวยงามกลางหุบเขา บนคาเมรอนไฮแลนด์มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เพลิดเพลินกับทัศนียภาพของทิวเขาและป่าดงดิบแวะชมฟาร์มผึ้งและเป็นที่พกผ่อน ตากอากาศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของมาเลเซีย

-มัสยิดปุตรา (putra mosque) เป็นสถาปัตยกรรมมัสยิดสีชมพูลอยอยู่บนแหลมปุตราจายา จุดที่สูงที่สุดของมัสยิด มีความสูงเทียบเท่าตึกประมาณ 25 ชั้น เป็นจุดเด่นที่สำคัญของเมือง นอกจากนั้นก็ มีทะเลสาบที่สร้างขึ้นโดยการขุด จึงทำให้เมืองปุตราจายามีภูมิทัศน์ที่สวยงาม และ มีสะพานที่ออกแบบอย่างสวยงามถึง 5 สะพาน ได้แก่ Putra Bridge, Seri Perdana Bridge, Seri bakti Bridge, Seri Gemilang Bridge, และ Seri Wawasan Bridge มัสยิดปุตรานั้นเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1997 จนแล้วเสร็จอีก 2 ปีถัดมา ตั้งอยู่ข้างกับเพอร์ดานาปุตรา ซึ่งเป็นทำเนียบรัฐบาลของมาเลเซีย และทะเลสาบปุตราจายา ทะเลสาบที่สร้างโดยมนุษย์ ด้านหน้าของมัสยิดยังมีจตุรัสที่ประดับด้วยธงแต่ละรัฐของมาเลเซีย มัสยิดปุตรา

-อาคารสุลต่านอับดุลซามัค (Sultan Abdul Samad Building)และ หอนาฬิกา สูง 40 เมตร เป็นตัวอาคารเก่าแถบ Merdeka Square ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม แบบ มัวร์ ส่วนที่เป็นหอนาฬิกาสูง 40 เมตรที่นั้นมักจะเรียกกันว่าเป็น บิ๊กเบนของมาเลเซีย ส่วนด้านบนจะเป็นโดมขนาดใหญ่สีทอง อาคารนี้สร้างเมื่อเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหาร อาณานิคมของอังกฤษ ปัจจุบันใช้อาคารที่ทำการของรัฐบาล

มหาวิหารเซนต์แมรี่ (St. Mary's Church) ที่บริสุทธิ์ หรือมหาวิหารเซนต์แมรีเป็นโบสถ์ของสังฆมณฑลของมาเลเซียของชาวอังกฤษ โบสถ์ของเอเชียอาคเนย์ กัวลาลัมเปอร์ตั้งอยู่มาเลเซียมันเป็นของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์บิชอปเห็น ตกอยู่ในปกครองของบิชอปแห่งมาเลเซียแม่ และโบสถ์แห่งสังฆมณฑล  ตัวอาคารประกอบด้วยวิหาร 87 ฟุตกว้าง 28 เมตรยาว 29 เมตรยาว 22 เมตรกว้างพลับพลา และใช้ปลายเหลี่ยม พร้อมกับสวดมนต์ และช่องปาก ที่จะรองรับผู้ชุมนุม 180 คน และดุมพลับพลา นักร้อง 20 แห่งใน 2501 ด้านหลังของวิหารคือห้องโถงที่เรียกว่าห้องโถงวโรกาสให้กว้างขึ้น ในปัจจุบันการขยายงานเพิ่มเป็นอาคารใหม่ที่ซับซ้อน

-จตุรัสดัตช์ (Dutch Square)  ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเที่ยวมะละกาจะต้องไปเที่ยวเดินเก็บภาพกลุ่มอาคารสีแดงที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญเพียงแห่งเดียวที่ชาวฮอลันดาได้สร้างทิ้งไว้ให้ชาวมะละกา สถานที่สำคัญในบริเวณนี้ได้แก่ Christ Church Melaka, อาคารสแตดท์ฮุยส์, อาคารพิพิธภัณฑ์เยาวชน, หอนาฬิกา, กังหันลมฮอลันดา, ป้อมปืนมะละกา และที่พลาดชมไม่ได้ก็คือเจ้ารูปปั้นกระจง ที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณวงเวียนหน้าจตุรัสดัตช์ เพราะว่าเจ้ากระจงตัวนี้คือสัญลักษณ์สำคัญเมื่อครั้งที่เจ้าชายปรเมศวรผู้ครองนครเทมาเส็ก หรือ สิงคโปร์ที่ได้ย้ายมาอยู่ที่มะละกาเนื่องจากหนีจากการโจมตีของกองทัพชวา และ ได้เห็นเจ้ากระจงน้อยตัวนึงที่กำลังถูกหมาป่า 2 ตัวกำลังไล่ล่า แต่ด้วยความที่จนตรอกสุดๆ แล้ว ทำให้เจ้ากระจงตัวน้อยตัวนั้นเปลี่ยนจากการหนีมากัดฟันสู้กับเจ้าหมาป่า และ เตะหมาป่าตัวหนึ่งตกลงไปในน้ำ ทำให้เจ้าชายปรเมศวรรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้ และ ได้ทรงตัดสินใจปักหลัก และ สร้างเมืองมะละกาขึ้นมา

-อาคารหอคอยคู่เปโตรนาส (Petronas Twin Towers)  เป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 452 เมตร มีชั้นทั้งหมด 88 ชั้น โดยทางการใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งหมด 20,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของตึกนี้เป็นเจ้าของผู้ผลิตน้ำมันยี่ห้อเปโตรนาส ชื่อเดียวกับตึกนั่นเอง การออกแบบตึกได้รับแรงบันดาลใจจากลักษณะของเสาหินทั้ง 5 ของอิสลาม นอกจากความสวยงามและความสูงของตึก ที่ทำให้คนทั่วโลกต้องตะลึงแล้ว ภายในตึกยังเป็นแหล่งรวมความรู้ ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี บันเทิงและแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่อีกด้วย

-วัดถ้ำเปรัก (perak cave) เมืองฮิโปร์ ในมาเลเซียแม้จะมีชาวพุทธเป็นส่วนน้อยแต่ก็มีวัดจีนหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวทุกชาติทุกศาสนานิยมไปแวะชมและสักการะ วัดถ้ำเปรัก ในเมืองฮิโปร์ เป็นวัดถ้ำที่สำคัญวัดหนึ่งของมาเลเซีย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางมักแวะเข้าไปชมหากมีโอกาสผ่านไปในเส้นทางนี้ ภูเขาหินลูกเล็กๆที่อยู่ริมทางแต่ก็มีถ้ำและศาสนสถานที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ที่นิยมสร้างวัดติดกับภูเขา หรือสร้างบนยอดเขา? ภายในถ้ำมีภาพจิตรกรรมผนังถ้ำที่วาดโดยจิตรกรชาวจีนที่อาศัยอยู่ฮ่องกง เป็นภาพขนาดใหญ่มาก วัดถ้ำแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม พระสังขจายองค์ใหญ่ วัดนี้หากจะเทียบกับบ้านเราแล้วถือว่าเป็นวัดใหม่ที่พึ่งเปิดเมื่อปี ค.ศ 1970 หรือ พ.ศ 2513 หลังจากมาเลเซียได้รับเอกราชได้เพียง 13 ปี

-วัดเขาเต่า (Wat Khao Tao) หรือ เค็ก ลก ซี (Kek Lok Sri) ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง  ภายในวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ และเจดีย์หมื่นพระ เป็นพุทธศิลป์ที่ผสมผสานความงามของเป็นอันดับ 3 ประเทศไว้ด้วยกัน คือ ไทย จีน พม่า ซึ่งเชื่อกันว่า วัดนี้เป็นสถานที่ ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการจะสมหวังในเรื่องของความรัก  ส่วนเหตุผลที่เรียกว่าวัดเขาเต่านั้น ก็เพราะว่า เมื่อเดินขึ้นไปถึงระหว่างทางจะพบว่ามีบ่อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีเต่าอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน

-ป้อมปราการคอร์นเวลลิส (fort cornwallis) นั้นได้มีการก่อสร้างขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ 17 แต่เดิมนั้นทำด้วยไม้ ภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นคอนกรีตในปี ค.ศ.1804 ซึ่งใช้แรงงานจากนักโทษ ก่อสร้างที่ป้อมนี้มีโรงละครกลางแจ้ง ส่วนภายในป้อมเป็นศูนย์ศิลปหัตถกรรมของชาวพื้นเมือง มีโบราณวัตถุที่สำคัญคือ ปืนใหญ่ ที่ชื่อว่า สรีรัมไบ เป็นโบราณสถานของชาวดัทช์มอบให้สุลต่านแห่งยะโฮร์ ผู้ปกครองเมืองปีนังในสมัยนั้น

-หอนาฬิกาควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Clock Tower) สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนม์มายุ60 พรรษาของพระราชินีวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ.1897 โดยมหาเศรษฐีชาวปีนัง ชื่อเซียะห์ เช็น อ็ก หอนาฬิกาแห่งนี้สูง 60 ฟุต

-น้ำตกอีสกันดา (Lata Iskandar Waterfall) เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามแบบธรรมชาติอย่างมาก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางลงจากคาเมรอนไฮแลนด์ โดยชื่อเต็มน้ำตกอีสกันดาก็คือ Lata Iskandar Waterfall อยู่ในรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย โดยเป็นน้ำตกธรรมชาติที่มีความชุมชื่นและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี

-พระราชวังอิสตานาเนการา(istana negara palace) พระราชวังแห่งชาติ สถานที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดี หรือยังดีเปอร์ตวนอากงพระราชวังแห่งนี้จะเป็นกลุ่มอาคารรูปทรงโดมเชื่อมกับทางหลวงไปยังตัวเมือง และมีถนนทางเข้าพิเศษหลายเส้นทางพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการครอบครองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 และกลายเป็นเขตพระราชฐานนับตั้งแต่นั้น

-มัสยิดจาเม็ก (Masjid Jamek) ตั้งอยู่ตรงบริเวณที่แม่น้ำกอมบักไหลมาบรรจบกับแม่น้ำกลัีง ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะว่าเป็นจุดกำเนิดของนครกัวลาลัมเปอร์เลยทีเดียวตรงบริเวณจุดบรรจบกันของแม่น้ำทั้งสองสายนี้เมื่อ 150 ปีก่อน เป็นจุดที่มีการสร้างสถานีขนส่งแร่ลักษณะการออกแบบของมัสยิดจาเม็กตรงบริเวณเสาเป็นแนวอิฐสีส้มสลับกับสีขาว และ มียอดโดมสีขาวทรงกลมและมียอดแหลม ซึ่งเป็นลักษณะการออกแบบที่ได้รับอิทธิพลศัลปะโมกุลของอินเดียเหนือ ซึ่งมีสถาปนิกเป็นชาวอังกฤษ ชื่อว่า เอ.บี. ฮับบอก (A.B. Hubbock) ได้สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2444 พวกเราเดินชมความงามของมัสยิดแห่งนี้แค่เพียงจากบริเวณด้านนอก โดยเริ่มเดินมาจากจตุรัสเมอเดการ์ (Merdeka Square) แล้วเลาะเลียดตามขอบรั้วด้านนอกจากฝากหนึ่งไปยังอีกฝากหนึ่ง ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชมด้านใน เนื่องด้วยเวลาที่จำกัดหากคุณต้องการเข้าไปเยี่ยมชมด้านในคุณต้องแต่งกายให้เรียบร้อย แต่ทางมัสยิดจะมีเครื่องแต่งกายเช่นผ้าคลุมศรีษะ และ โสร่งไว้ให้สำหรับคลุมขา ตรงบริเวณทางเข้า ในกรณีที่เราเกิดแต่งกายไม่ตรงตามระเบียบของทางมัสยิด มัสยิดจาเม็ก เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 08:30 - 16:00 น. เฉพาะวันศุกร์ช่วง 11:00 - 14:30 น. ซึ่งจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพราะว่าจะมีการทำศาสนกิจในช่วงเวลาดังกล่าว

-เก็นติ้งไฮแลนด์ (genting highland) เป็นแหล่งบันเทิงที่รวมความหลากหลายไว้ในที่เดียวกัน เป็น City of Entertainment ระดับโลกที่มีมานานหลายสิบปี จากเดิมที่เคยมีชื่อเสียงในเรื่องแหล่งกาสิโนที่ละลานตา ภายในห้องโถงขนาดใหญ่เทียบได้กับสนามฟุตบอล มีเครื่องเล่นที่สามารถดูดเงินในกระเป๋ามาแล้วมากมาย เป็นการสูญเงินบนความสนุกก็อาจจะพูดได้...เขาเก็นติ้งมีความสูงปะมาณ 1800 เมตร มีโรงแรมอยู่บนความสูงระดับเมฆ ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกล่าวว่าได้มาอยู่เหนือเมฆ ได้มารับไอเย็น แม้บางคนจะไม่ชอบเรื่องการพนันแต่ก็อยากมาได้เห็นปุยเมฆอย่างใกล้ชิด และมีให้เห็นกันตลอดปี ปัจจุบันเก็นติ้งไฮแลนด์เปลี่ยนโฉมจากสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ มาเป็นศูนย์รวมความสนุกสนานของความครัว ที่เดินทางขึ้นเขาด้วยกระเช้าลอยฟ้า ไต่ระดับความสูงขึ้นมาอยู่เหนือระดับเมฆในระทางราว3 กม. เป็นความตื่นเต้นที่หลายคนอยากมาเห็นกับตาว่าเป็นอย่างไร หากจะพูดถึงเก็นติ้งแล้ว คงจะมีเรื่องเม้าท์กันได้ตลอด เอาเป็นว่าประเทศมาเลเซียได้เงินจากค่าเช่าค่าภาษีจำนวนไม่น้อยในต่ละปีดูดเงินจากคนไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย รวมทั้งชาติตะวันออกก ที่นี่บรรดาชาติต่างๆจากโลกอาหรับเดินกันให้ควั๊ก หนุ่มอาหรับนุ่งยีนส์ลากรองเท้าแตะเดินควงสาวชุดดำที่เห็นแต่ลูกกะตา แต่ก็พอมองออกว่าขาวเนียน ตาคม ซึ่งคงจะเป็นความสุขที่หาไม่ได้ในประเทศตนเองที่มีกฏเข้มงวด...แต่ละวันมีผู้คนหลั่งไหลกันขึ้นมาอยู่รวมกันบนยอดเขาเก็นติ้งนับหมื่นๆคน โดยเฉพาะเย็นวันศุกร์จะหนาแน่นเป็นพิเศษ แต่ข้างบนนี้ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างโดยเฉพาะที่พักรองรับได้หลายหมื่นคน.. First World Hotel เป็นโรงแรมที่กรุ๊ปทัวร์จะจองที่พักกันมีห้องพักถึง 6,300 ห้อง เป็นแชมป์อันดับ 1 ของโลกในขณะนี้

-เมืองมะละกา (Malacca)เมืองเก่าซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ เป็นเมืองท่าสำคัญที่มีการติดต่อค้าขายหรือเป็นเมืองเศรษฐกิจจนได้รับฉายาว่า Golden Age หรือขวานทอง เป็นต้นเหตุต่อการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมาเลเซียอยู่หลายครั้งหลายหน มีมรดกตกทอดทางสถาปัตยกรรมของชาติยุโรปอยู่หลายแห่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ของมาเลเซีย

-ย่านดาตารัน เมอร์เดก้า (Dataran Merdeka) สถานที่ฉลองเอกราช ชมอาคารสวยๆรอบๆ เช่น อาคาร Sultan Abdul Samad ปัจจุบันเป็นที่ทำการของศาลสูง อาคารที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งใน มาเลเซีย Selangor Club ของผู้ดีชาวอังกฤษในสมัยก่อน

-ป้อมปราการอาฟาโมซา (fort a famosa) ป้อมป้องกันเมืองของโปรตุเกส ซึ่งถูกทำลายโดยอังกฤษจนเกือบหมด เพราะไม่ต้องการให้มะละกามีเขี้ยวเล็บ ยังควเหลือไว้เพียงแค่ประตู Porta De Santiago

-วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ซึ่งเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู อยู่ทางเหนือของกรุงกัวลาลัมเปอร์ไป 12 กม.  สร้างขึ้นเป็นวัดในศาสนาฮินดูเพื่ออุทิศถวายแด่พระขันธกุมาร เทพองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู ซึ่งพระขันธกุมารนั้นเป็นพระโอรสของพระอิศวรและพระอุมา  และเป็นพี่ชายของพระพิฆเณศวร์หรือพระคเณศ  ด้านหน้าปากทางขึ้นบันไดไปยังถ้ำบาตูนั้น ข้างบนจะมีรูปปั้นของพระขันธกุมารสูงถึง 42.7 เมตร ยืนเด่นเป็นสง่าเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้มาเยือน สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2549

-มหาวิหารเซนต์แมรี่ (St. Mary's Church) มหาวิหารเซนต์แมรี่ (St. Mary's Church) ที่บริสุทธิ์ หรือมหาวิหารเซนต์แมรีเป็นโบสถ์ของสังฆมณฑลของมาเลเซียของชาวอังกฤษ โบสถ์ของเอเชียอาคเนย์ กัวลาลัมเปอร์ตั้งอยู่มาเลเซียมันเป็นของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์บิชอปเห็น ตกอยู่ในปกครองของบิชอปแห่งมาเลเซียแม่ และโบสถ์แห่งสังฆมณฑล  ตัวอาคารประกอบด้วยวิหาร 87 ฟุตกว้าง 28 เมตรยาว 29 เมตรยาว 22 เมตรกว้างพลับพลา และใช้ปลายเหลี่ยม พร้อมกับสวดมนต์ และช่องปาก ที่จะรองรับผู้ชุมนุม 180 คน และดุมพลับพลา นักร้อง 20 แห่งใน 2501 ด้านหลังของวิหารคือห้องโถงที่เรียกว่าห้องโถงวโรกาสให้กว้างขึ้น ในปัจจุบันการขยายงานเพิ่มเป็นอาคารใหม่ที่ซับซ้อน

-หอคอยเคแอล ทาวเวอร์ (KL Tower)หรือ มีอีกชื่อว่า เมนาร่า กัวลาลัมเปอร์ (Menara Kuala Lumpur) เป็นหอคอยที่มีความสูงปลายยอดที่ 421 เมตร ถือเป็นหอคอยที่สูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลกหอคอยเคแอล ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะบูกิต นานาส สร้างเสร็จและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปด้านบนได้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.  2539 หอคอยแห่งนี้นอกจากจะทำเป็นจุดชมวิวเมืองกัวลาลัมเปอร์สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว หอคอยเคแอลแห่งนี้ยังเป็นหอส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์อีกด้วยใครที่เที่ยวอยู่ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ จะสามารถมองเห็นหอคอยนี้ได้จากแทบทุกมุมของกัวลาลัมเปอร์เลยทีเดียวจุดชมวิวบนหอคอย (Observation Deck) จะอยู่ที่ความสูง 276 เมตร พอขึ้นไปถึงด้านบนจะมีกล้องส่องทางไกลตั้งอยู่รอบๆ รวมถึงมีหูฟังแจกเพื่อฟังคำบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ในแต่ละมุมที่เราเห็น ซึ่งทางทิศตะวันออกของหอคอยจะเห็นตึกแฝดเปโตรนาส อย่างชัดเจน และทางทิศใต้จะเห็นย่านบูกิต และ อาคารแฝดของห้างสรรพสินค้า Berjaya Times Squareนอกจากนั้นด้านบนของหอคอยแห่งนี้ยังมีร้านอาหารที่หมุนไปรอบๆ เพื่อเพิ่มบรรยากาศในการรับประทานอาหาร ซึ่งร้านอาหารสามารถบรรจุลูกค้าได้ถึง 250 คนเนื่องจากประเทศมาเลเซียให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นอย่างมากทำให้ในระหว่างที่ก่อสร้างทางรัฐบาลได้มีนโยบายให้เก็บรักษาต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี มีชื่อเรียกว่า Jelutong tree โดยใช้งบประมาณกว่า RM 430,000 ในการเคลื่อนย้ายบางส่วนของหอคอยเพื่อรักษาต้นไม้ต้นนี้ไว้ในทุกๆ ปีจะมีการจัดการแข่งขันวิ่งขึ้นบันไดขึ้นหอคอยเคแอลการเข้าชมหอคอย

 -วัดไทยไชยมังคลาราม(wat chayamangkalaram) เป็นวัดไทย ตั้งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงมานานบนเกาะปีนัง โดยภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย โดยมีความยาว 108 ฟุต สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505 วัดไชยมังคลารามเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในปี พ.ศ. 2388 มีอายุกว่า 160 ปี สร้างโดยบริษัทอินเดียตะวันออก ศิลปะของวัดไชยมังคลารามเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทย พม่า และจีนผสมผสานกันอย่างลงตัวและมีสีสันสะดุดตา ดูแปลกไปจากวัดในประเทศไทย ที่เน้นศิลปะที่อ่อนช้อย แต่ศิลปะของวัดแห่งนี้จะเป็นแบบเรียบ ไม่มีการแกะสลัก ทำลวดลายให้ดูวิจิตรมากนัก

-Central Market ตลาดกลางตั้งอยู่กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ จากถนนเปลาติง ขับรถเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงตลาด ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและมรดกตกทอดของชาวมาเลเซีย อาคารที่ใช้เป็นตลาดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888 แต่เดิมใช้เป็นตลาดสด ต่อมา ได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่สำคัญในฐานะที่เป็นมรดกของประเทศ นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางไปตลาดกลางเพื่อหาซื้องานศิลปะ งานฝีมือ ชุดเกอร์บายา ผ้ายก ผ้าบาติก และของที่ระลึกแท้ๆ จากมาเลเซีย ที่บาติก เอ็มโพเรียม (Batik Emporium) มีสินค้าจากดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงวางจำหน่าย และสินค้าจากผ้าบาติก เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า รวมทั้ง ของแต่งบ้านนอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถชมการศิลปะการแสดงและกิจกรรมทางวิฒนธรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจได้ที่เวทีกลางแจ้งของตลาดได้อีกด้วย ในช่วงเทศกาล บริเวณนี้จะคึกคักและเป็นไปด้วยสีสัน สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติของชาวมาเลเซีย ในขณะที่หอศิลป์แอนเน็กซ์หลังตลาดเป็นสถานที่แสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยและมักจะมีการกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ เช่น การฉายภาพยนตร์ นิทรรศการศิลปะ และการอภิปราย เป็นต้น

-ห้างซูเรีย (Suria KLCC Mall) ห้างซูเรีย เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

-โบสถ์คริสต์ ในมะละกาโบสถ์สีแดงสดในคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนด์ ตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของจัตุรัสดัตช์ เริ่มสร้างเมื่อปีพ.ศ.2284 เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบ 100 ปีที่ชาวดัตช์เข้าปกครองมะละกา ใช้เวลาสร้างนานถึง 12 ปีจึงแล้วเสร็จ แต่ภายหลังที่อังกฤษเข้าปกครอง ได้เปลี่ยนเป็นโบสถ์นิกายแองกลิคัน และนำเครื่องวัดทิศทางลมรูปไก่ (Weathercock) ไปติดไว้เหนือระฆังบนยอดโบสถ์ พร้อมสร้างน้ำพุหินอ่อนและหอนาฬิกาไว้ด้านหน้าเพื่มเติม ปัจจุบันมีการตกแต่งสถานที่โดยรอบให้งดงามมากยิ่งขึ้นด้วยดอกไม้นานาพรรณ ยังคงเป็นโบสถ์ของชาวคริสต์เหมือนเช่นเมื่อกว่าสองร้อยปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นสามารถเข้าชมภายในโบสถ์ได้ แต่ต้องอยู่ในอาการสงบและ ห้ามถ่ายรูป

Visitors: 812,518